คำแนะนำสำหรับทุกท่านท่านสามารถ "ค้นหา" บทความย้อนหลังด้วยคำภาษาไทยจากเว็บไซต์นี้ได้ง่ายๆ อ่านที่นี่ครับ |
(2)
วังวนที่ไม่มีทางออกของการศึกษาไทย เพราะผู้มีบทบาทและอำนาจจัดการต่างก็คิดไม่ออกบอกไม่ถูก เพราะคิดมากคิดไกลเกินไปหรือเปล่า? เราจึงได้เห็นการสั่งการให้ปฏิบัติแบบพิลึกพิลั่นกันอยู่อย่างนี้ เมื่อเกิดสถานการณ์ (มือปืน)รับจ้างทำวิทยานิพนธ์ ทำโครงงานเพื่อจบ ทำแบบฝึกหัด ทำรายงาน ทำการบ้าน ก็แก้ปัญหาด้วยการไม่ต้องทำวิทยานิพนธ์ ไม่ต้องมีโปรเจกต์ ไม่ต้องมีรายงาน หรือสั่งให้ลดการบ้านลง แล้วพัฒนาการศึกษาไทยได้จริงหรือ?
ประเทศนี้มีความเชื่อแปลกๆ และแก้ปัญหามาหลายแบบ ใครมีอำนาจก็สั่งการออกไป นัยว่าจะทำให้ปัญหาการศึกษาของไทยจบได้ ตั้งแต่การเรียกชื่อแปลกๆ โรงเรียนเปลี่ยนเป็นสถานศึกษา (ถึงขั้นทุบป้ายทำใหม่กันก็มี เพื่อเอาใจนาย) ครูใหญ่/อาจารย์ใหญ่ไม่ขลัง ไม่ก้าวหน้า ต้องเปลี่ยนเป็นผู้อำนวยการ ให้ประถมเปิดสอนมัธยมทั้งๆ ที่จบ ป.๖ ยังอ่านภาษาไทยไม่ออก เขียนไม่คล่อง ยุบรวมประถมและมัธยมจะได้เลื่อนไหลตำแหน่งได้มากขึ้น และยังมีข่าวที่มาจากไหนไม่รู้ว่า ครูต้องแต่งเครื่องแบบข้าราชการแบกบั้งใหญ่ๆ ไปสอนทุกวันมันจะได้ขลัง นี่เราแก้ปัญหาเกาถูกที่คันกันหรือยัง?
การศึกษาไทยได้เวลาต้องปฏิวัติได้แล้ว หลังจาก ที่พยายามปฏิรูปกันมานานนับ ๑๐ ปีแล้วไม่เกิดมรรคผลใดๆ นอกจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร ตำแหน่งและแย่งเก้าอี้กันจนชุลมุน การศึกษาไทยเข้าสู่ยุคแห่งความตกต่ำ ปรากฏผล จากการประเมินของหน่วยงานทั้งภายในประเทศ และองค์กรนานาชาติเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เอาแค่ในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยกัน เมื่อก่อนไทยเราดูเหมือนจะเป็นผู้นำก้าวล้ำกว่าใคร แต่วันนี้กลับไปรั้งท้ายๆ เป็นไปได้อย่างไร?
แล้วเราก็จะได้เห็นเจ้ากระทรวง ผู้บริหารระดับสูงในกระทรวง นักวิชาการจากสำนักต่างๆ ดาหน้าออกมาโทษครู ต้องอบรมพัฒนาครูแบบเข้มข้นเพื่อยกผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ยังไม่เห็นสักคนเลยที่มองว่า ความผิดพลาดล้มเหลวทั้งหลายที่เกิดขึ้น ล้วนมาจากการบริหารงานโดยผู้บริหารที่ทำงานล้มเหลว... จริงหรือเปล่า? โปรดคิดพิจารณา วิเคราะห์ ก่อนตอบนะครับ...
ทำไมคนญี่ปุ่นเข้าแถว (ไม่แซงคิว) แม้ขณะนั้นกำลังประสบภัยพิบัติจากสึนามิ แต่พวกเขาก็ยังเข้าแถวรอ ในการปันส่วนน้ำ และอาหาร แต่คนไทยกับแย่งชิงกันแค่ตั๋วหนังฟรีหนึ่งใบ นั่นคือคำถามที่เกิดขึ้นมากมาย หลังเกิดเหตุการณ์ "มอบคืนความสุขคนไทย" ด้วยการให้ดูภาพยนตร์ "ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 5 ยุทธหัตถี" ฟรีในโรงภาพยนตร์ทั่วประเทศ แล้วโกลาหลอลหม่านทั่วไทย แก่งแย่งกันแบบโรงแตกสุดจะบรรยาย
ยิ่งก่อนหน้านี้ มีข่าวกระจายไปในสังคมออนไลน์ ก่อนหน้าเทศกาลดูหนังฟรีของคนไทย (วันที่ 12 มิถุนายน 2557) ชาวเน็ตสิงค์โปร์ฮือฮา เมื่อมีการแชร์ภาพของ นายลี เซียน ลุง นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ขณะกำลังยืนเข้าคิวเพื่อรอซื้อไก่ทอดที่ ฮอกเกอร์เซ็นเตอร์ (ฟูดคอร์ดที่ไม่ติดแอร์ หรืออยู่กลางแจ้ง) เป็นเวลานานถึง 30 นาที เช่นเดียวกันกับประชาชนทั่วไป ชาวเน็ตต่างแสดงความชื่นชมยกย่อง นายลี เซียน ลุง ที่ปฏิัติตัวเช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปในการเข้าคิวซื้ออาหาร ทั้งที่ตัวเองเป็นถึงนายกรัฐมนตรี เป็นผู้นำประเทศ (ทำให้แอบคิดถึงภาพบรรดา ฯพณฯ ท่านทั้งหลายในเมืองไทยที่มักจะแย่งคิว ไล่ที่ เคลียร์พื้นที่เสียก่อน ไม่มีทางมาทำตัวบ้านๆ ให้เราเห็น)
การศึกษาไทย "ยิ่งปฏิรูปยิ่งถอยหลัง" ถ้า... เรายังคิดจะยัดเยียดบรรดาสรรพสิ่งที่มีในโลก ลงไปในสมองอันน้อยนิดกับเด็ก เหมือนเรากำลังป้อนอาหารมากมาย หลากหลายรสชาติ ให้อิ่มหมีพีมันในวันเดียว ใยเราไม่บอกสูตรเด็ดให้เขาคิดปรุงเองในวันพรุ่งนี้ เมื่อมองลงไปในวิถีเด็กไทยตั้งแต่อนุบาล ประถม ยันมัธยมศึกษา เราพบว่า มีการยัดเยียดเนื้อหามากมาย เรียนพิเศษคร่ำเคร่งกันแต่วัยเยาว์ แบกกระเป๋าตำรา หนา หนัก ไปโรงเรียนทุกเช้า แล้วเรามีความก้าวหน้าไปมากมายขนาดไหนกัน
ยิ่งได้เห็นหลายท่านที่ปรารภว่า จะต้องเอาชื่อวิชา "ประวัติศาสตร์และหน้าที่พลเมือง" กลับมาให้ปรากฏในหลักสูตร ก็มีเสียงบอกนักเรียนจะเพิ่มชั่วโมงเรียนมากเกินไป ครับจริงเช่นนั้น แค่นี้ก็เกินกว่า 1,200 ชั่วโมง/ปีไปมากมายนัก เรียนกันตั้งแต่รุ่งเช้ายันดึก จากโรงเรียนปกติและโรงเรียนกวดวิชา บ้างก็ว่าจะต้องเพิ่มหนังสืออ่านนอกเวลา ที่เน้นการปลูกฝังค่านิยมรักชาติ จะได้ประโยชน์อะไรครับ ในเมื่อการอ่านของประเทศเรานั้นต่ำเตี้ยระดับปีละ 8 บรรทัด และที่สำคัญอ่านไม่ออก จับใจความไม่ได้อีกมากมาย โดนถีบหัวส่งให้พ้นๆ ไปเพื่อเพิ่มตัวเลขผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ผ่านการประเมินระดับยอดเยี่ยมกระเทียมเจียว (ลองคลิกอ่านตรงนี้ซิครับ)
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)