คำแนะนำสำหรับทุกท่านท่านสามารถ "ค้นหา" บทความย้อนหลังด้วยคำภาษาไทยจากเว็บไซต์นี้ได้ง่ายๆ อ่านที่นี่ครับ |
โดย ดร.ปัญญา เปรมปรีดิ์
เมื่อเช้านี้ (ประมาณเดือนกันยายน 2544) ผมอ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง เขาบอกว่า มีคุณแม่ของเด็กคนหนึ่งได้ร้องเรียนถึงหนังสือพิมพ์ว่า ต้องเอาบุตรชายอายุ 6 ขวบ ออกจากโรงเรียนชนิด "e-School " โรงเรียนดังกล่าวนี้เป็นโรงเรียนนำร่อง ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี มูลนิธิไทยคม มูลนิธิศึกษาพัฒน์ และสถาบันเทคโนโลยีแห่งแมสสาชูเซส (MIT)
เหตุผลของเธอคือ ครูที่สอนนั้นเป็นบัณฑิตใหม่ ไม่ได้จบครู จึงไม่เข้าใจการสอนเด็ก ปล่อยให้เด็กเล่มคอมพิวเตอร์อย่างเดียว นอกจากนี้ก็ยังชี้อีกว่า มีเรื่องไม่ชอบมาพากล คือโรงเรียนใช้ซอฟแวร์ของสถาบันเอ็มไอที ซึ่งมีราคาแพง หากนำไปใช้ทั่วประเทศก็จะเสียเงินมหาศาล เรื่องนี้ทาง ผู้ช่วยอธิการบดีของพระจอมเกล้าธนบุรี ออกมาชี้แจงว่า อีสกูลดังกล่าวนี้เพิ่งเปิดมาได้ 3 เดือน จึงอยู่ระหว่างการดำเนินการที่จะสร้างครูให้เหมาะสม ในขณะเดียวกันก็แจ้งว่า เด็กคนดังกล่าวนั้นเป็นเด็กมีปัญหา คือชอบใช้ความรุนแรงกับเพื่อน
ครับ ผมอ่านแล้วช็อคไปสามตลบ ผมช็อคในเรื่องใดบ้างเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟัง แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราน่าจะนำมาถกกัน คือมาถกกันว่า เจ้าอี สกูล (E-school ) หรือ อีเลินนิ่ง (E-learning) นี้มันคืออะไรกันแน่ มันจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติของเราหรือไม่ และเราจะต้องปรับระบบการเรียนการสอนของเราไปในรูปนั้นทั้งหมดหรือไม่ ? เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่นะครับ มันไม่ใช่แค่ข่าวการทะเลาะกัน
โอเค, มาดูกันว่าผมตกใจและมึนงงกับเรื่องอะไรบ้าง ?
โดย ดร.ปัญญา เปรมปรีด์
นักการศึกษายุคใหม่กำลังโจมตีนักการศึกยุคเก่าว่าสอน หนังสือเด็กผิดวิธี คือสอนให้เด็กท่องจำ ซึ่งมันทำให้เบื่อ ไม่อยากเรียน แล้วก็เลยทำให้เด็กเรียนรู้ได้น้อย เรียนจบมาแล้วทำงานไม่ได้ ทำให้ผลผลิตของประเทศไม่มีคุณภาพ และหมดโอกาสที่จะแข่งขันในตลาดโลก นักการศึกษายุคใหม่บอกว่าต้องทำให้เด็กสนุกไปกับการเรียน แล้วก็หวังว่าเด็กจะรับรู้เข้าไปได้มาก และจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพ
ผมกลับเห็นว่า นักการศึกษายุคใหม่นั่นแหละที่จะพาเด็กลงเหว ทั้งนี้เพราะแนวคิดใหม่ดังกล่าวนี้จะยิ่งทำให้เด็กขาดความรู้ เหตุผลของผมมีดังนี้
ในการเรียนการสอนนี้เราต้องดูที่เป้าหมายกันเสียก่อน เป้าหมายที่แท้จริงของการเรียนก็คือ จะได้มีความรู้ไปทำประโยชน์แก่ตนเองและสังคม ความรู้คือสิ่งจำเป็นในการประกอบอาชีพ ถ้าเด็กไม้รู้เป้าหมาย และไม่เห็นประโยชน์ของความรู้ เด็กก็จะไม่เรียน เด็กจะไม่ยอมจำ เด็กจะฟังแล้วปล่อยผ่าน แล้วเด็กก็จะเอาจิตใจไปคิดถึงเรื่องอื่น ระบบการศึกษาแบบเดิมนั้นผู้ใหญ่เป็นผู้จัดหลักสูตร แล้วก็บอกเด็กว่าต้องเรียน ต้องรู้ ต้องจดจำเอาไว้ เด็กรับทราบเป้าหมายโดยไม่เข้าใจ แต่อย่างน้อยก็ยอมรับว่า " มันคงมีประโยชน์ในอนาคต" เด็กยอมเชื่อเพราะเห็นว่าเป็นผู้ใหญ่ และถ้าครูคนไหนใจดีก็จะเชื่อมากขึ้น ดังนั้นจึงมีการเรียนรู้กันอยู่บ้าง เพียงแต่ว่ามันไม่เต็มที่ เมื่อเรียนไปจนถึงระดับสูงๆ แล้วจึงมาเข้าใจในเหตุผลที่ครูเคยพร่ำสอน แต่ก็มักจะสายเกินไปที่จะหวนกลับมาเรียนรู้สิ่งที่ครูเคยสอนไว้
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)