คุณรู้จัก "3 ปุ่มมหัศจรรย์" บนคอมพิวเตอร์หรือไม่? ถ้าเป็นคนที่ใช้งานบ่อยๆ คงพอจะตอบได้ล่ะครับ ถ้าเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่ตอบสนอง ทำอะไรไม่ได้ นิ่งสนิท ก่อนจะถึงไม้ตายสุดท้าย (ถอดปลั๊ก) ก็จะมีการใช้ 3 ปุ่มมหัศจรรย์กันทันทีแหละนั่นคือ การกดปุ่มคอนโทรล (Ctrl) อัลติเนต (Alt) และ ดีลีท (Delete) พร้อมกัน เพื่อการรีสตาร์ทเครื่องเริ่มการทำงานใหม่ ซึ่งทั้งสามปุ่มนี้ เป็นที่รู้จักและยอมรับอย่างแพร่หลายมาตลอด 10 ปีที่คอมพิวเตอร์มีบทบาทกับชีวิตของเรา
ผู้คิดค้นโค้ดคำสั่งดังกล่าว โดยใช้เวลาเพียงแค่ 5 นาที ในการเขียนโค้ดคำสั่ง แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า เขาได้สร้างคำสั่งที่ตรงใจผู้ใช้ และจำเป็นมากที่สุดคำสั่งหนึ่งเลยทีเดียว เขาผู้นั้นคือ เดวิด บรัดเลย์ (David Bradley) วิศวกรในทีมพัฒนายักษ์สีฟ้า ไอบีเอ็ม
เขากล่าวว่า "ผมอาจจะเป็นคนสร้างมันขึ้นมา แต่บิล เกตต์ คือคนที่ทำให้มันเป็นที่รู้จัก" ซึ่งการสรรเสริญของ บรัดเลย์ ต่อ บิล เกตต์ ครั้งนี้ ทำให้เจ้าของค่ายยักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ ผู้สร้างซอฟต์แวร์ Microsoft Office & Windows ชื่อดัง ถึงกับหัวเราะไม่ออกมาแล้ว เพราะอีกนัยหนึ่งก็คือ การตอกย้ำให้เห็นถึงความผิดพลาดในการทำงานของซอฟต์แวร์ของบิล เกตต์นั่นเอง
เราต้องยอมรับกันโดยปริยายแล้วว่า ปัจจุบันระบบราชการได้เข้าสู่ยุคแห่งการปฏิรูป โดยใช้ "เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร" หรือ ICT มาเป็นเครื่องมือ เพื่อให้การบริหารงาน และการบริการประชาชน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งนี้จะเห็นได้อย่างชัดเจน ในการที่รัฐบาลต้องการผลักดันให้เกิด รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Government อย่างเป็นรูปธรรม และจะนำไปสู่การทำให้ประชาชนเป็นพลเมืองอิเล็กทรอนิกส์ หริอ e-Citizen
การเริ่มต้นเข้าสู่การเป็น e-Government นั้นต้องเริ่มจาการทำงานในภาคราชการทุกหน่วย ที่จะต้องมีการเชื่อมโยงระบบการบริการทั้งหลายเข้าด้วยกัน ให้เป็นระบบเดียว (One Stop Service) ซึ่งแน่นอนว่าการดำเนินการนี้ ย่อมต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การดำเนินงานต่างๆ ที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้นั้นกลับต้องมาชะงักด้วยสาเหตุที่องค์ความรู้ ความสามารถของบุคลากรในองค์กรเกือบทุกหน่วยอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์
ผลการศึกษา ซึ่งเก็บข้อมูลจากแบบสอบถามข้าราชการไทยจำนวน 1,900 ชุด จากหน่วยงานต่างๆ พบว่า ข้าราชการในกลุ่มผู้ใช้งานไอซีทียังมีปัญหาเกี่ยวกับความรู้ และทักษะการใช้งานไอซีที โดยจำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเกือบทุกด้าน เนื่องจากมีความรู้และทักษะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐาน มีเพียงความรู้ และทักษะการใช้งานโปรแกรมประมวลคำ (Word Processing) และทักษะการใช้ คอมพิวเตอร์ทั่วไป (General Knowledge) เท่านั้นที่อยู่ในระดับมาตรฐาน ซึ่งบุคลากรในกลุ่มนี้ควรได้รับการพัฒนาทักษะเพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 3 ข้อ คือ
กลุ่มข้าราชการซึ่งเป็นบุคลากรด้านไอซีที ผลการศึกษาพบว่า ยังขาดความรู้ความเข้าใจและทักษะเกี่ยวกับไอซีทีในเชิงลึก จึงทำให้ลักษะการทำงานไม่แน่นอน นอกจากนั้นในบางส่วนราชการบุคลากรด้านไอซีทีเหล่านี้ยังไม่มีหน้าที่ในการทำงานที่แน่นอนด้วย คือทำงานสารพัดเรื่องเหมือนบุคลากรด้านอื่น
ลักษณะการทำงานของบุคลากรไอซีทีของหน่วยงาน เพื่อที่จะก้าวไปสู่การเป็นองค์กรที่ให้บริการกับประชาชน ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ควรจะเป็น 3 ระดับ คือ
1. ระดับผู้บริหารเทคโนโลยีสารสนเทศระดับสูง (CIO Level) โดยลักษณะงานที่ ต้องทำ คือ
2. ระดับผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศ (Management Level) มีลักษณะงานที่ต้องทำ คือ
3. ระดับผู้ปฏิบัติการด้านเทคนิค (Technical Level) สามารถแบ่งลักษณะงานทางเทคนิคออกเป็น 4 กลุ่มหลัก คือ งานด้านการพัฒนา งานด้านการนำไปใช้ งานด้านการปฏิบัติการ และงานด้านการบริการสนับสนุนผู้ใช้ไอซีที
ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี่ ผมกำลังจะดึงเพื่อนครูเหลียวกลับมามอง "องค์กร" ของพวกเราเอง เพื่อสะท้อนงานที่เรากำลังคิดและอยากจะทำ แต่ยังไม่เห็นเป้าหมายแห่งผลสำเร็จเลย เพราะอะไรหรือ?
ซึ่งจากการศึกษาพบว่า บุคลากรด้านไอซีทีของส่วนราชการ (รวมทั้งในโรงเรียนด้วย) ยังทำงานในด้านการบริการสนับสนุนผู้ใช้ไอซีที และการปฏิบัติการด้านไอซีทีทั่วไปเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มพูนทักษะระยะยาวแก่ผู้ใช้งานไอซีที ยังคงมีสัดส่วนน้อยอยู่ นอกจากนั้นยังพบว่า กว่าร้อยละ 50 ของบุคลากรด้านไอซีทีทั้งหมด จะเป็นการพัฒนาโปรแกรมเบื้องต้นที่ใช้ในหน่วยงาน หรือปรับแต่งโปรแกรมที่มีอยู่เดิมตามการเปลี่ยนแปลงของเนื้องานเท่านั้น
การดำเนินการสู่เป้าหมายด้านไอซีทีของโรงเรียนจะประสบผลสำเร็จได้ จะต้องปรับกลยุทธ์ในการทำงานขององค์กรเสียใหม่ เปลี่ยนความรู้สึกและทัศนคติที่มีต่อการดำเนินงานด้านไอซีทีเสียใหม่ บางคนยังคิดว่า "ครูคอมพิวเตอร์" คือ "พนักงานพิมพ์ดีด" อยู่นะครับ
สาเหตุที่เราพัฒนางานด้านไอทีในโรงเรียนเป็นไปได้ช้า เพราะปัญหาเหล่านี้คือ
แล้วประเทศจะก้าวไปถึงเป้าหมายที่ผมจั่วหัวไว้ข้างบนหรือไม่ในระยะ 4 ปีของรัฐบาลนี้ ผมแทบจะฟันธงได้เลยด้วยซ้ำว่า คงจะก้าวไปได้ไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ ด้วยสาเหตุง่ายๆ คือ บุคลากรในหน่วยราชการจำเป็นต้องได้รับความรู้ การส่งเสริมและการพัฒนาทักษะด้านไอซีที จากหน่วยงานต้นสังกัดและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อย่างเร่งด่วน เพื่อให้สามารถนำความเจริญก้าวหน้าของไอซีทีที่นับวันจะพัฒนาไปเรื่อยๆ มาใช้ในการบริหารงาน และให้บริการกับประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญคือ ลดช่องว่างความรู้ความสามารถไม่ให้บุคลากรไอซีทีของภาคเอกชนทิ้งห่างภาคราชการมากจนเกินไป…
อ่านเรื่องที่เกี่ยวข้อง Click!
วันนี้ผมไปร่วมการประชุมสัมมนาเรื่อง การพัฒนาสังคมแห่งการเรียนรู้ผ่านชุมชนนักปฏิบัติ โดย ศูนย์กลางความรู้แห่งชาติ (KTC) กระทรวงไอซีที ก็ได้มองเห็นช่องทาง และโอกาสในการรวมกลุ่มสร้างชุมชนออนไลน์เพื่อการเรียนรู้ ที่อยากแนะนำให้เพื่อนครูได้เข้าไปศึกษา และนำมาใช้ประโยชน์กัน ดูรายละเอียดได้ที่ www.tkc.go.th แล้วจะเล่ารายละเอียดให้ฟังวันหลัง
ครูมนตรี โคตรคันทา
บันทึกไว้เมื่อ : 22 มีนาคม 2548
อ่านต่อ : e-Government & e-Citizen (2)
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)