ไม่ได้อัพเดท นานมากครับ ถ้าถามถึงเหตุผลก็ต้องตอบว่า มัวแต่ทำงานอื่นๆ จนเพลินไปเลย (ไม่จริงหรอกครับ แค่ตอบให้มันดูดีเท่านั้นเอง) ผมมีเรื่องอึดอัดคับข้องใจมากมายหลายเรื่อง บางเรื่องหลายๆ ท่านก็ทราบๆ กันอยู่โดยเฉพาะในเรื่องนโยบายของฝ่ายการเมืองที่ส่งอิทธิพลต่อข้าราชการ ประจำในกระทรวงศึกษาธิการ และส่งผลกระทบลงไปในระดับผู้ปฏิบัติงานเบื้องล่าง คิดจะระบายออกมา แต่มันก็ประดังมาหลายเรื่องราวมาก เลยจับต้นชนปลายไม่ถูก ผมเหมือนกระโถนที่มีคนใช้บริการประจำ เจออะไรมาก็มาบ่นให้ผมฟัง ฝ่ายคนฟังก็เลยรับเรื่องเครียดๆ เข้าไปจนมึนไปเหมือนกัน
และในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา ผมก็โดนอุทกภัยเหมือนกับคนอื่นๆ ชนิดไม่ตกเทรนด์น้ำหลากเลยทีเดียว โดนไปสองครั้งที่บ้านท่วมระดับหน้าแข้ง ข้าวของเสียหายพอสมควร (แต่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลจากใคร ไร้ถุงสิ้นชีพ) เครื่องใช้ไฟฟ้ายกหนีทันครับ แต่หนังสือ ตำราต่างๆ ทั้งของผมและภรรยา รวมทั้งของลูกๆ ที่เอามาจากกรุงเทพฯ จมน้ำในการท่วมครั้งที่สองเยอะพอสมควร (เป็นปรากฏการณ์ 23 ปีที่อยู่มาไม่เคยโดนน้ำท่วมสักครั้ง) แล้วยังต้องวิ่งขึ้น-ล่องกรุงเทพฯ - อุบลราชธานีตลอดในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา เพื่อไปดูแลบ้านที่กรุงเทพฯ อีกหลัง เลยห่างหายจากการเขียนบทความต่างๆ ไปพอสมควรครับ
หลังจากที่ทนเครียดกับการติดตามข่าวสารมายาวนาน (ข่าวน้ำท่วม จาก สื่อโทรทัศน์ สื่อออนไลน์) วันนี้ บ้านที่กรุงเทพฯ (หมู่บ้านเพอร์เฟคพาร์ค สุวรรณภูมิ) น่าจะรอดปลอดจากอุทกภัย ด้วยพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เพราะอยู่ในแนวคันกั้นน้ำ ตามพระราชดำริ (ถนนร่มเกล้า) ระดับน้ำบริเวณนั้น (คลองสองต้นนุ่น ใต้คลองแสนแสบ) ไม่ขยับ ก็สบายใจในระดับหนึ่ง ก็เลยถือโอกาสมาอัพเดทเว็บไซต์สักนิดหนึ่งด้วย บทสัมภาษณ์ของคุณหมอประเสริฐ ทองเจริญ ซึ่งผมเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่คนไทยทั้งมวล ลองอ่านดูครับ
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์ประเสริฐ ทองเจริญ ที่ปรึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล และที่ปรึกษากรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข อดีตที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก(WHO) วันนี้ในวัย 79 ปี ได้ให้แง่คิดที่น่าสนใจในการดำเนินชีวิต พร้อม สะท้อน 4 นิสัยเน่าเสียของคนไทยในยุคปัจจุบัน ที่ทำให้คุณหมอประเสริฐรับไม่ได้ ?
บทสัมภาษณ์พิเศษนี้ อ่านจบแล้วมีความสุข อมยิ้มไปได้หลายวัน (ลองคิดตามและตรองไปด้วยครับ เรื่องดีๆ อย่างนี้ต้องขยาย)
คุณหมออายุใกล้ 80 ปี ทำอย่างไรถึงมีสุขภาพแข็งแรง และอารมณ์เบิกบานได้ตลอดเวลา
ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันต้องได้กิน ได้นอนพอ ถ่ายอุจจาระ ไม่ท้องผูก ไม่ท้องเสีย และได้อออกำลังกาย หลายคนมักพูดว่า ไม่มีเวลา ผมก็ไม่มีเวลา แต่ผมอาศัยเดิน เช่น การเดินจากป้ายรถเมล์มาบ้าน ก็ได้เหงื่อบ้าง เป็นการออกกำลังกายโดยไม่ต้องเสียเงิน ถ้ามีลูกก็ชวนลูกเดิน ไม่ต้องไปออกกำลังกายหักโหม หรือเดินขึ้นบันได ช่วยทำให้หัวใจได้ออกกำลัง แต่ถ้าหากมีโรคหัวใจ ไม่ควรหักโหมอย่างนั้น ผมเผอิญไปทดสอบหัวใจยังดีอยู่
ถัดไปเรื่องความเครียด พยายามอย่าเครียด อะไรลืมได้ลืม อะไรทิ้งได้ทิ้ง ความเครียดสำหรับตัวผมเอง มีความเครียดจากการเดินทาง ผมไปทำงานที่ศิริราชทุกวัน ก็แก้ปัญหาด้วยการออกแต่เช้าตี 5.45 น.ออกจากบ้าน จะไม่พบความเครียดในการเดินทาง และเวลากลับบ้านก็กลับเร็วหน่อย เพราะไปแต่เช้า กลับเวลา15.00 น. หรือหาก 15.00 น.เปิดวิทยุฟังบอกรถติด ก็อาจจะกลับช้าหน่วยสัก 1 ทุ่ม 2 ทุ่ม ค่อยกลับ ลดความเครียดในการเดินทาง
ลดความเครียดในการใช้ชีวิตประจำวัน
ผมเป็นคนที่ค่อนข้างระมัดระวัง ผมกินบำนาญ ผมรายได้ทั้งเดือนมาเฉลี่ยว่า ต่อวันมีรายได้เท่าไหร่ ผมพยายามใช้ให้อยู่ในกรอบอันนั้น เช่น ผมมีวงเงินใช้ 100 บาท ต่อวัน หากวันนี้ผมใช้เกินไป 120 บาท พรุ่งนี้ผมจะใช้เพียง 80 บาท ให้ถั่วเฉลี่ยกันไปให้ได้ อย่าขนาดว่า เคร่งครัดกับตัวเองจนขยับตัวเองไม่ได้ ถ้าเราไม่สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายมากไปพออยู่ได้ หากเย็นนี้ทำกับข้าวเหลือ พรุ่งนี้ก็ห่อไปทานกลางวันที่ทำงานได้
เมื่อก่อนแม่ให้ห่อข้าวไปโรงเรียน อายเพื่อน กลัวเพื่อนจะว่า พ่อแม่ไม่มีสตางค์ไปซื้อข้าวกิน อายเขา แต่ทุกวันนี้ผมกลับภูมิใจว่า พ่อแม่หัดเราไว้ ผมไปอยู่เจนีวาก็เอาข้าวกล่องไปกิน ผมมีความรู้ในการปรุงอาหารอยู่บ้าง ผมไม่มีความเดือดร้อนในการกินการอยู่
ผมไม่เที่ยวกลางคืนมานานแล้ว นอนสัก 6 ชั่วโมง แต่ถ้าไม่ได้ 6 ชั่วโมงไม่ต้องไปเคร่งเครียด
ถ้ามีเวลาว่างมีงานอดิเรกด้วยการเขียนหนังสือ เขียนทิ้งๆ ไปบ้างก็ได้ เปิดคอมพิวเตอร์ดูข้อมูล ดูข่าว ดูอีเมลล์บ้าง ในอินเตอร์เน็ตข่าวทุกอย่างอัพเดท ทำให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน จะไม่เครียด ต้องรู้จักปล่อยว่าง
การเสพสื่อในยุคนี้ มีข้อควรพิจารณาอย่างไร
ต้องระมัดระวัง เพราะสื่อบางอย่างช่วยให้เครียดมากกว่า คลายเครียด ต้องเลือกสื่อ
ความเหมาะสมของการดื่มในช่วงสูงวัย
การดื่มถ้าสมมติจะดื่มบ้าง พอให้เจริญอาหาร สดชื่นบ้าง ไม่ควรบังคับ หรือห้าม ยกเว้นถ้าไม่ชอบดื่ม ถ้าอยากจะดื่มก็ให้ดื่มบ้าง มีคนที่ผมรู้จักคนหนึ่งดื่มบรั่นดีวันละ 1 เป็ก และดื่มมา 30 ปีแล้ว อยู่มาวันหนึ่งตรวจพบความดันโลหิตสูง ลูกชายและลูกเขยซึ่งเป็นหมอห้ามไม่ให้ดื่ม แต่ปรากฎว่า ความดันก็ไม่ลดลง
วันหนึ่งมาคุยกับผม ผมบอกให้ลูกชายและลูกเขยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ และให้ดื่มได้ตามปกติ ปรากฎว่า ผ่านไป 1 สัปดาห์ความดันลดลง การที่ความดันเพิ่มจากความเครียด บังคับจิตใจกันมากความดันเลยไม่ลด พวกที่มีสตางค์ดื่มไวน์ยังไงก็ไม่เมา
เทคนิคการเลี้ยงลูกให้เป็นคนดี
การห่วงลูกห่วงหลานต้องห่วงพ่อแม่ก่อน ต้องสอนพ่อแม่ให้เลี้ยงลูกอยู่ในกรอบ อย่าปล่อยตามใจ ผมมีลูก 3 คน ผมเลี้ยง และมีการลงโทษ หากบอกว่า อย่าแล้วยังทำจะต้องถูกทำโทษ ผมบอกตะเกียบกายสิทธิ์ ผ่ามือผัดเผ็ดก็มี
แต่การทำโทษต้องมีเหตุผล ถามเขาว่าทราบใช่มั๊ยว่า ทำไมต้องถูกลงโทษ เขาก็บอกอย่างนั้นอย่างนี้ก็รู้ตัว ผมบอกลูกเสมอว่า เลี้ยงลูกต้องมีเหตุผล
ปัจจุบันเด็กๆ คุยโทรศัพท์มือถือนาน เราเตือนบอกคุยโทรศัพท์นานเสียเงินมาก พ่อแม่ต้องทำงานหนัก และการคุยโทรศัพท์นานมีผลกระทบต่อคลื่นสมอง นักวิจัยยังถกเถียงกันเรื่องนี้ว่า มีผลกระทบต่อสมอง และให้มีการทำกิจกรรมร่วมกันในครอบครัว
คุณหมอทำงานแบบไม่มีวันเกษียณ
ถ้ายังทำงานไหว แม้จะต้องนั่งรถเข็นไป ก็ยังอยากไปทำอยู่ เพราะผมถือว่า คนเราจะเป็นคนที่มีประโยชน์ต่อเมื่อเราทำประโยชน์ ถ้าหากเราไม่ได้ทำประโยชน์ ก็เท่ากับเราไม่มีประโยชน์ คนเราจะนึกว่า ตัวเองวิเศษไปคนเดียวไม่ได้หรอก ต้องทำประโยชน์ต้องเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน อยู่ที่ทำงานเดือนหนึ่ง 1-2 ครั้ง ผมจะทำกับข้าวให้กับผู้ร่วมงานรับประทาน คนที่มีความคิดเห็นแตกต่างกัน เราจะพยายามปรับให้เข้าหากัน เช่นว่า คนนี้คิดถูกแล้ว แล้วคุณจะว่าอย่างไร คุณคิดใหม่สิ จะได้ไม่ทะเลาะกัน ทุกวันนี้แตกแยกกัน
ที่ผมเคยเห็น สามี-ภรรยา 2 คู่ ทำงานอยู่ที่เดียวกัน สามีของฝ่ายหนึ่งได้เลื่อน 2 ขั้น ภรรยา 2 คนทะเลาะกัน ทำไมสามีเธอได้ 2 ขั้น สามีเธอเสนอหน้า เลียเจ้านายใช่หรือไม่ แต่ถ้าหากได้กินข้าวด้วยกัน แชร์ความรู้สึกกัน มันจะไม่ทะเลาะกัน
ผมมีความสุขในการที่ได้ไปทำงาน เด็กๆ ยังยอมรับนับถือเรา อันนั้นอันนี้เป็นอย่างไร อาจารย์คิดว่าอย่างไร ผมบอกผมคิดอย่างนี้ ผมอาจจะคิดผิดก็ได้ อย่าไปคิดว่า ลื้อคิดผิด อั๊วคิดถูก คนเราทำไมจะคิดผิดไม่ได้ คนเราทำไมจะล้มเหลวไม่ได้ ผมไม่ถือเลย เช่น เด็กๆ ตั้งไข่ ต้องหกล้มหลายครั้ง กว่าจะเดินได้ ตอนหกล้มไม่ใช่ความผิดของเด็ก ผมก็พยายามพูดอย่างนี้
หลานผม สมัยที่เกิดการชุมนุนเสื้อเหลือง ผมบอกหลานว่า "ฟังได้ แต่อย่าเพิ่งปักใจ 100% ว่า คนนั้นผิด คนนี้ถูก คนที่เราคิดว่า ถูกอาจจะผิด คนที่เราคิดว่า ผิดอาจจะถูก เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งปักใจ ดูเหตุแวดล้อมอะไรต่างๆ ก่อน" หลานก็บอกผมว่า "เขาฟังสนธิ (ลิ้มทองกุล) พูดก็น่าฟัง พูดเก่ง แต่ว่า เขาไม่รู้ว่า เขาจะเชื่อได้หมดหรือเปล่า" เขาพูดอย่างนี้ ผมพอใจแล้ว ให้เขาแบ่งใจไว้สักนิดว่า อาจจะจริงก็ได้ ไม่จริงก็ได้ เราก็ชมหลานว่า "ถูก ต้อง ต้องคิดอย่างนี้ เราต้องคิดว่า เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ได้ฟังมาแต่ต้น เราฟังสิ่งที่เขาเล่ามา ประโยคเขาอาจจะเล่าไม่หมดก็ได้ เขาอาจจะเล่าไม่จบก็ได้ เขาอาจจะทิ้งไว้ให้เราคิดต่อ แล้วเราก็คิดต่อ ไปในทางที่ผิดเอง" เราต้องค่อย ๆ สอนเขาอย่างนี้ เขาก็เดินต่อไปได้
คนไทยเชื่ออะไรง่ายๆ จริงไม่จริงก็ไม่รู้ แต่เชื่อไปแล้ว
ผมมีความรู้สึกไม่ดีกับคนไทย 4 เรื่อง 1) คนไทยเชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ไม่สอบสวนว่า ต้นตอมาอย่างไร เช่น ถ้ามีคนไปลือว่า คุณยิ่งลักษณ์ (ชินวัตร) เป็นผู้ขายแปลงเพศมา อาจจะมีคนเชื่อ และบอกว่า ปกติ ตระกูลนี้ต้องคางเหลี่ยม จะสวยได้อย่างไร คนไทยเชื่อข่าวลือมาก เชื่อง่าย เชื่อข่าวลือ ของจริงมีคนชี้แจงจะไม่ฟัง ข่าวร้ายมาที่ 1 ข่าวลือมาที่ 2
สิ่งที่ผมไม่ชอบมากขณะนี้คือ 2) อยากได้ของฟรี คนขายหวยถึงรวย กล้วยออกปลีกลางต้น ก็ไปขูดเลข ไหว้ ต้นไทรมีอะไรออกมาผิดปกติ ก็ไปไหว้แล้ว เมื่อไหร่จะเลิกนิสัยอยู่เฉยๆ แล้วรวย ผมว่า ไม่มี ตอนนี้ผมนั่งดูอีเมลล์และเก็บพวก Spam ทุกวัน ผมกำลังเก็บไว้ พวกต้มตุ๋นทั้งหลาย
เช่น ท่านถูกรางวัลที่ 1 จำนวน 10 ล้านดอลลาร์ ผมก็ถามตัวเองว่า ผมไปทำอะไรถึงถูกหวย Yahoo โปรโมชั่น ผมก็ไม่เคยใช้ Yahoo เขาจะให้โปรโมชั่นผมได้อย่างไร บางทีมีเรื่องธนาคารในอัฟริกาจะโอนเงินมาให้ ผมจะนำมาวิเคราะห์ และพิมพ์แจกว่า ผมไม่เชื่อเพราะอะไร ตอนนี้มีเมียคนที่ 2 ของกัดดาฟี จะเอาเงินออกจากประเทศอย่างไร ช่วยรับไว้หน่อยได้หรือไม่ ภรรยาคุณสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจก็มี เป็นลูกสาวคุณวัฒนา อัศวเหมก็มี ผมจะวิเคราะห์ให้ฟัง ว่าคนพวกนี้เขาไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก เขาจะลงทุนโยกย้ายอะไรเขามีวิธีทำ ถ้าเขาเชื่อให้ผมทำ แสดงว่า เขาอยากจะเจ๊งเร็วๆ ผมจะมีปัญญาไปทำอะไร ประโยคท้ายชอบขึ้นว่า Can I trust you ถ้ามึงเชื่อกูก็โง่เต็มที่
เรื่องไม่ดีของคนไทยเรื่องที่สามคือ 3) วิสัยทัศน์มองใกล้ ไม่ค่อยมองไกล ผมไม่ได้ว่า ทุกคน คนส่วนหนึ่งชอบชักจูงคนส่วนใหญ่ให้เชื่อตาม คือ คนมองใกล้ไม่มองไกล
เรื่องไม่ดีเรื่องที่สี่ของคนไทยคือ 4) คนไทยนับถือคนรวย เห็นว่า คนรวยเป็นคนดี แม้แต่พระในวัดดังองค์หนึ่ง ที่ผมทราบเรื่องนี้ เพราะพ่อเพื่อนผมเป็นคนนำมาบวช จนได้เป็นพระดังอยู่ในเขตกรุงเทพฯ มีโยมอุปัฏฐากไปเรื่อย จนกระทั่งตอนหลังคุณพ่อพระไม่ไป เวลาคนจะมาหา ให้ลูกศิษย์ไปดูว่า คนที่จะมาพบนั่งรถอะไรมา เสียพระไปแล้ว คนเขาจะเดินมา หรือพายเรือมาก็เป็นเรื่องของเขา มันจะมาหาที่พึ่งทางใจก็ให้เขาพบสิ นี่ขนาดเป็นพระ แล้วคนธรรมดา
ผมเคยด่าพระในใจครั้งหนึ่ง ทนไม่ไหว สมัยที่ใครต่อใครไปรุมที่วัดพระธรรมกาย มีพระผู้ใหญ่องค์หนึ่งที่อยู่วัดนี้ ได้รับรถเบนซ์จากวัดพระธรรมกาย ก็มีหนังสือพิมพ์ไปสัมภาษณ์ว่า จริงหรือไม่ว่า วัดดังกล่าวเอารถมาถวายท่าน พระองค์นั้นตอบว่า ผิดด้วยหรือที่อาตมาจะนั่งรถเบนซ์
ผมดูทีวีแล้ว หลุดปากออกมาทันที่ว่า ผิดตั้งแต่แม่เอ็งคลอด เอ็งออกมา ทำไมไม่ให้สำลักน้ำคร่ำตาย ไม่ใช่ผิดวันนี้ มันผิดตั้งแต่ตอนเกิดแล้ว เป็นพระผู้ใหญ่พูดอย่างนั้นได้อย่างไร ควรจะพูดว่า ได้รับกิจนิมนต์ต้องเดินทางบ่อย ปลอดภัยดี ผมก็ไม่ว่าอะไร แต่กลับตอบว่า ผิดด้วยหรือ ที่อาตมานั่งรถเบนซ์ ผมรับไม่ได้ คือ มันแสดงให้เห็นว่า คนรวยคือ คนดี บางคนอาจจะรวยขึ้นมาด้วยการค้าของผิดกฎหมาย ฟอกเงิน
ตลอด 79 ปีปรัชญาชีวิตที่ตกผลึกแล้วคืออะไร
ช่วยตัวเองให้ได้ แล้วเราจะมีแรงช่วยคนอื่น การที่จะช่วยให้ตัวเองอยู่รอดได้ เป็นเรื่องของความมัธยัสถ์ สมถะ เรื่องของความเอาใจใส่ ดูแลตัวเอง ให้เรารอดปลอดภัยได้ ถ้าเรามีความรู้ เราสามารถที่จะช่วยคนอื่นได้ อันนี้ถือสิ่งที่ผมทำ เมื่อผมแต่งงาน ยังไม่มีเงิน เวลาผมทำอะไร ผมต้องบอกภรรยาก่อนว่า อย่าหวังได้เงิน ได้กล่องก็ยังดี เมื่อก่อนผมทำคลินิกที่บ้าน เพื่อนบ้านผมไม่เคยเก็บสตางค์ อย่างน้อยช่วยดูแลบ้านกัน หรือเราเลี้ยงสุนัขอาจไปทำเสียงดังให้รำคาญ เขาก็เกรงใจไม่ว่า เรา บ้านผมมีอาหารอะไรก็ทำแบ่งกันกินให้เพื่อนบ้าน
นี่คือ ปรัชญาและความคิดที่ตกผลึกแล้วของคุณหมอประเสริฐ ทองเจริญ
ผู้ใดจะเอาแนวคิดดี ๆ ไปใช้ คุณหมอไม่สงวนลิขสิทธิ์
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชนออนไลน์ ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)