ในวันที่ 4 ธันวาคม ที่ผ่านมา หลายๆ ท่านคงได้รับฟังกระแส พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นมิ่งมงคลยิ่งที่พระราชทานแก่ปวงชนชาวไทย ทรงห่วงใยในอนาคตของบุตรหลาน เยาวชนไทยใน พ.ศ. นี้ ทั้งเรื่องการเที่ยวเตร่ในแหล่งบันเทิง การเสพสิ่งเสพติดต่างๆ ซึ่งตกอยู่ในวังวนแห่งความชั่วร้ายและจะทำลายอนาคตของชาติบ้านเมืองในวันข้างหน้า
ความคาดหวังของสังคมที่ต้องการให้เยาวชนทุกคนเป็นคนดี แต่บัดนี้ก็มีภาพสะท้อนออกมามากมายแล้วว่า เยาวชนของเราเตลิดเปิดเปิงไปกันใหญ่ ในหน้าหนังสือพิมพ์และจอโทรทัศน์มักจะมีข่าวใหญ่ให้เห็นเสมอ ถึงการกระทำความผิด (หลักกฏหมาย) และศีลธรรม จนพ่อแม่ผู้ปกครองอิดหนาระอาใจ สดๆ ร้อนๆ ก็ใกล้ๆ ตัวผมนี่แหละ นักเรียน ม. 1 ม. 2 เปิดห้องโรงแรมมั่วสุมเล่นไพ่ สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าเบียร์ และต่อไปจะทำอะไรยังไม่แน่ เพราะโดนรวบเสียก่อน (ห้องข้างๆ เขาหนวกหูรำคาญเสียงดัง โทรแจ้งตำรวจ) พลันก็มีคำถามตามมาทันทีว่า "ทำไม? ครูไม่ดูแล" นั่นนะซิ!
ถามแบบนี้ก็ตอบได้ไม่ยากหรอก เพราะผม (ครู) อยู่ ร.ร. (โรงเรียน) ไม่ได้อยู่ รร. (โรงแรม) เลยไม่เห็น เด็กไม่มาให้เห็นหน้าเลยที่โรงเรียน แต่ดันไปโผล่ที่โรงแรม จะให้ทำอย่างไร?
คงต้องช่วยกันแล้วล่ะครับ ตั้งแต่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ครู-อาจารย์และสังคมรอบข้าง กรณีศึกษาข้างบนนั่นมีคำอธิบายได้ว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มีอิทธิพลต่อเด็กมากที่สุดเดี๋ยวนี้กลับเป็น "สื่อสารมวลชน" มากกว่าอย่างอื่น บางเรื่องเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก แต่กลับถูกประโคมให้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ติดตามกัน (ไม่รู้เพื่อการสะใจใคร?) ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นมีมากขึ้น อยากลอง อยากทำตาม ทำให้เกิดเรื่องราวที่ไม่คาดคิดมากขึ้นหลายๆ เหตุการณ์ในสังคม คดีที่เกิดขึ้นทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำเป็นเยาวชนมากขึ้น และระดับอายุของผู้กระทำผิดเริ่มลดต่ำลงอย่างน่าใจหาย ตั้งแต่การเสพสารเสพติด การข่มขืนกระทำชำเรา รวมทั้งการอนาจารอื่นๆ
อยากยกกรณีตัวอย่างของโทรทัศน์ที่เสนอละครแบบ "สะท้อนชีวิตชาวบ้าน" (วัยรุ่นเรียก แบบบ้านๆ วัยเก๋าเรียก น้ำเน่า) หลายเรื่องที่นำเสนอพฤติกรรมของเยาวชนแก่แดดออกสู่สาธารณะ ตั้งแต่การจับกลุ่มตั้งแก๊งค์ เที่ยวกลางคืน เสพสุรายาเมาและโทรมหญิง แม้ผู้จัดละคร (รวมทั้งสถานี) จะอ้างว่า เสนอพฤติกรรมของคนเลวที่ตอนสุดท้ายก็ได้รับผลกรรมที่ก่อทุกเรื่อง น่าจะสอนคนให้ทำดีได้ แต่เชื่อผมเถอะ คุณเสนอบทบาทของความเลวร้ายสะใจคนดูกว่า 10-20 ตอน ตลอดระยะเวลา 2-3 เดือน ที่ทำให้คนดู (เยาวชน) จำติดตา จนอยากเลียนแบบ ในขณะที่คุณเสนอบทบาทการได้รับผลกรรมของการกระทำแค่ 3 นาทีในตอนสุดท้าย สิ่งไหนมันน่าจดจำมากกว่ากัน?
สิ่งที่เราพบเห็นกันในวันนี้คือ เยาวชนของเราขาดความเอาใจใส่ในการเรียนมาก นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีอีกสาเหตุหนึ่งที่ผมอยากนำเสนอและให้ทุกท่านลองวิเคราะห์กันดู ว่าเท็จ-จริงแค่ไหน?
ความล้มเหลวของระบบการจัดการศึกษา ด้วยการอ้างของนักวิชาการ (ที่ข้ามน้ำข้ามทะเล) ไปเล่าเรียนเขียนอ่านยังต่างประเทศ กลับมาแล้วไม่ได้มองถึงรากเหง้าวัฒนธรรมของตนเอง ต้องการแก้ไขให้ศิวิไลซ์เหมือนประเทศอื่น จนลืมบริบทด้านสังคม และวัฒนธรรมของไทย ผนวกกับลมปากของนักการเมือง ที่ไม่เคยสัมผัสกับการจัดการศึกษาของไทย กำหนดนโยบายเพื่อสนองฐานคะแนนเสียงของตน มองเห็นภาพการสร้างกำลัง (สมอง) คน เหมือนการผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่เมื่อขึ้นสายพาน การผลิตแล้วต้องไม่ตกหล่น (สอบตกไม่ได้ ครูผิดอีกแล้ว) แล้วใครได้ใครเสียกันแน่?
สิ่งที่ขาดไปในหลักสูตรยุคปัจจุบัน (ครูรุ่นใหม่อาจจะไม่ทราบ แต่รุ่นเก๋าคงจะจำได้ อันนี้ไม่เกี่ยวว่าเป็นครูยุคพัฒนาหรือไม่? นะครับ) ที่พอจะมองเห็นก็คือ
คงต้องเริ่มแก้ไขกันอย่างจริงจังในวันนี้ ไม่ต้องทำแบบไฟไหม้ฟาง (เพราะเห็นมาประกาศออกมาตรการปลายเหตุกันเป็นแถว ทั้งกระทรวงมหาดไทย ศึกษาธิการ สาธารณสุข) เราต้องแก้กันที่ต้นเหตุของปัญหา จึงได้เสนอมุมมองของครูไทยคนหนึ่งในวันนี้ ถือว่าเป็นการบ่นส่งท้ายปีก็แล้วกันนะครับ เราน่าจะมีสิ่งดีๆ มอบให้กับเด็กและเยาวชนไทยในวันเด็กปีหน้า
ปีหน้าก็เลือกตั้งใหม่ จะได้คนใหม่หรือคนเก่าก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ก็ได้ ท่านใดมีอำนาจวาสนาจะสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ผมบ่นไปในทางที่ดีขึ้นกว่านี้ก็ขอได้ทำเถิด ไม่ต้องกลัวว่าจะล้าหลังถอยหลังเข้าคลองหรอกครับ ถ้าไม่แก้เสียแต่วันนี้ ปล่อยให้ถึง 4 ธันวาคม 2548 เราคงจะได้รับฟังพระราชดำรัสที่กล่าวถึงอนาคตลูกหลานไทยอีกแน่ๆ ต้องช่วยกันเพื่อพ่อหลวงของเราแล้วล่ะครับ
ครูมนตรี โคตรคันทา
บันทึกไว้เมื่อ : 9 ธันวาคม 2547
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)