ในช่วงหลายๆ สัปดาห์มานี่ ผมมีความรู้สึกหดหู่อย่างไรชอบกลครับ นึกอะไรไม่ค่อยออก มีความคิดจะเขียน (บ่น) หลายๆ เรื่อง แต่แล้วก็ดับมอดความคิดไปเพราะมีเหตุการณ์ที่วาบความคิดใหม่มาเรื่อยๆ บางเรื่องก็เป็นการย้ำคำที่ผมเคยบ่นมาแล้ว วันนี้ขอรวมหลากเรื่องเล่านั้นมาลำดับให้ฟังกัน (จะเห็นด้วยหรือไม่? ก็ไม่เป็นไรครับ)
มีข่าวต่อเนื่องตลอดทั้งทาง หนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ทำให้เกิดคำถามตามมา ชนิดที่ยังไม่มีคำตอบเลยว่า ทำไม? เหตุใด? จึงได้มีความอาฆาตมาดร้ายรุนแรงกันขนาดนั้น
ทำให้นึกย้อนไปถึงเรื่องราวในอดีตเก่าๆ ของครูแก่ๆ คนหนึ่งที่คึกคะนองในสมัยก่อนโน้น (ก็ไม่ได้ดีเด่กว่าเด็กสมัยนี้หรอกครับ) แต่ผมว่าไม่มีความอาฆาตมาดร้ายอย่างสมัยนี้ เราทะเลาะกันกับเพื่อนต่างสถาบัน ก็นัดพบประลองกันด้วยกำปั้นไม่หุ้มนวม หลังจากได้เลือดกลบปากรู้ว่าใครแน่กว่า ก็จับมือเป็นเพื่อนกันแล้ว
ผมยังมีเพื่อนที่แลกหมัดกันสมัยเรียน และยังรักนับถือกันจนทุกวันนี้อยู่ครับ นั่นคือวิสัยนักเลงสมัยโน้น แต่พวกเรามีสิ่งที่เหมือนกันอยู่อย่างหนึ่งคือ การเคารพครู-อาจารย์และผู้อาวุโส เรียกว่า ต่อหน้าเพื่อนคุยโว ครูมาเราหงอ (หรือไม่ก็วิ่งป่าราบ) ทำนองนั้นแหละครับ แต่เด็กรุ่นนี้สมัยนี้ผมว่าไม่มีนะ
ก็มีหลายฝ่ายได้ออกมาเสนอแนวคิดที่จะแก้ไข ไม่ว่าจะไม่ให้ใส่เสื้อช็อปออกนอกโรงเรียน จัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ ส่งเข้าค่ายฝึกกับทหาร ซึ่งล้วนแต่เป็นการแก้ที่ปลายเหตุทั้งนั้น ยังไม่มีใครคิดจะแก้กันที่ต้นเหตุก่อนที่จะตีกันเลยสักราย ที่ตีกันก็มีไม่กี่แห่งหรอกครับ รากเหง้าวัฒนธรรมแห่งศักดิ์ศรีผิดๆ นั้นฝังอยู่ตรงนั้นมานานแต่ยังไม่มีใครคิดขุดออกไปทิ้งเสีย ท่านผู้มีอำนาจสั่งการลองไปดูนะครับ
ข่าวเรื่องการยืมเงินจาก กองทุนกู้ยืมการศึกษา ที่อลเวงมากมายในปีนี้ เนื่องจากการลดลงของเงินกองทุนที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล และปัญหาการไม่ส่งเงินคืนเข้ากองทุนของรุ่นพี่ก่อนหน้านี้ที่จบการศึกษาไปแล้ว (หรือไม่? ไม่แน่ใจ) รวมทั้งมาตรการ/เงื่อนไขของการกู้ยืมที่เปลี่ยนไปจากเดิม
ผมเคยได้บ่นไปแล้วครั้งหนึ่ง (คลิกอ่านที่นี่) ซึ่งผมมีความเห็นว่า เงื่อนไขการให้กู้ยืมน่าจะปรับเปลี่ยนในทางที่เหมาะสม สำหรับคนที่มีความตั้งใจในการศึกษาเล่าเรียน มีโอกาสที่จะจบการศึกษามีงานทำ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ (มากกว่าจะกำหนดเพดานรายได้ของผู้ปกครอง เพราะผู้ปกครองที่เป็นมนุษย์เงินเดือนเสียเปรียบพ่อค้าขายส่ง ขายของชำที่ไม่มีสลิปเงินเดือนมากทีเดียว)
ในปัจจุบันนี้ สังคมของนักเรียนนักศึกษาเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อหลายปีก่อนเรามักจะเห็นวัยรุ่นมักจะรวมกันอยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวยามค่ำคืน ไม่ว่าจะเป็นดิสโก้เธค คาราโอเกะ พับ ห้องอาหาร (ตัวอย่างในชุมชนต่างจังหวัดนะครับ กรุงเทพฯ อาจจะแตกต่างออกไป)
แต่ในช่วงหลังนี้แหล่งบันเทิงเหล่านี้กลับซบเซาเงียบเหงา บางแห่งถึงกับปิดตัวเองไป จึงมีคำถามตามมาว่า เด็กวัยรุ่นเหล่านี้หายไปไหนกัน?
คำตอบที่ผมได้รับจากเพื่อนๆ และผู้ปกครองที่มีบ้านพักอยู่ใกล้กับแหล่งที่เป็นหอพักในตัวเมืองอุบลราชธานี ฟังแล้วน่าตกใจครับ "พวกเขามารวมกันมั่วสุมอยู่ในหอพักนี่มากกว่าตามแหล่งอื่นๆ เราถึงได้เห็นพับ เธคปิดตัวเองไปหลายแห่ง"
สิ่งที่น่าตกใจอย่างยิ่งในปัจจุบัน ก็คือการเลื่อนไหลของประชากรวัยเรียนจากหมู่บ้านในท้องถิ่นห่างไกล เข้าสู่เมืองใหญ่ที่มีสังคมวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่แตกต่างกันแทบจะสิ้นเชิง (บางท่านอาจจะนึกย้อนอยู่ในใจว่า ก็ไหนว่าให้เรียนใกล้บ้านแล้วไง?) แม้เราจะพยายามสร้างโรงเรียน (ใน/นาย) ฝัน กันทุกอำเภอในประเทศ พยายามโปรโมตถึงสิ่งดีๆ ที่มีคุณค่าเท่าเทียมกันของโรงเรียนทุกโรงในประเทศ
แต่ในความเป็นจริง ทุกคนก็รู้ๆ อยู่ว่า ความต้องการ ความนิยมของผู้คนยังคงฝังใจอยู่กับโรงเรียนเด่นดังในตัวเมืองใหญ่ มากกว่าโรงเรียนอื่นๆ ที่ถูกโปรโมตขึ้นมา (เอาง่ายๆ แค่ ผอ.โรงเรียนในฝันยังอยากส่งลูกมาเรียนในโรงเรียนใหญ่ในจังหวัดเลย ทำไมไม่ให้เรียนในโรงเรียนที่ตนเองบริหารจะได้เป็นสิ่งสร้างฝันได้จริงๆ ขอบอก)
บนความหวังของพ่อแม่ผู้ปกครอง คือ การประสบความสำเร็จของลูก ได้รวบรวมเงินทอง (บางครั้งถึงกับกู้หนี้ยืมสินให้ลูก) ส่งให้ลูกอย่างไม่เคยขัดแม้สักครั้งหนึ่ง แต่ด้วยความที่ต้องไกลจากบ้าน จากอกพ่อแม่ (รวมทั้งความไม่สะดวกในการมาดูแลลูกหลาน) ปล่อยให้ผจญชะตากรรมอยู่อย่างเดียวดายในสังคมเมืองใหญ่ จึงทำให้เกิดความลุ่มหลงกับวัฒนธรรมและสิ่งยั่วเย้าใหม่ๆ กลายเป็นประเด็นปัญหาอย่างที่พบในสื่อต่างๆ ทุกวันนี้
เราน่าจะหวังอะไรได้มากมายจากครูไทยในวันนี้ ถ้าหากครูของเราได้รับการสนับสนุน ส่งเสริมและเกื้อหนุนในด้านต่างๆ มากกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็น
ยิ่งเจอมาตรการที่ 3 เข้ามาเมื่อเดือนก่อนหน้านี้ ครูหลายท่านก็ออกอาการเจกันเลยทีเดียว เพราะมาตรการดังกล่าวนั้นมันขาดตราชั่งมาตรฐานรองรับ แต่ละแหล่งแห่งที่ก็ใช้มาตรฐานอิงกูเป็นตัวตั้ง (ใครรักใครชอบใครก็เอาไปเยอะๆ หาทางช่วยมันจนได้ ส่วนพวกที่ขวางหูขวางตาก็ส่งมันเข้าตะแลงแกงไปเลย) หลายครั้งที่ผมได้ยินข่าวว่า ผู้บริหารบางคนไม่กล้านอนบ้านเท่าไหร่ เพราะร้อยวันพันปีไม่เคยได้ยินเสียงปืนใกล้บ้าน แต่ตอนหลังๆ ไม่มั่นใจว่าเสียงประทัดหรือเสียงปืนกันแน่ (เลยเสียวไม่กล้านอน)
วันนี้ ก็ขอบ่นไปหลากหลายเรื่องหน่อย พอดีไปอ่านมติชนสุดสัปดาห์มาเรื่องหนึ่ง เห็นภาพอะไรชัดเจนในเรื่องการศึกษาไทยยุคปัจจุบัน ก็เลยนำมาให้อ่านกันที่ตรงนี้เป็นบทความที่เขียนโดยคุณไมเคิล ไรท์ ดูจากลิงก์ข้างล่างได้เลยครับ ขอให้ทุกท่านผ่านการประเมินเป็นเพื่อนร่วมงานกันต่อไปนะครับ
ครูมนตรี โคตรคันทา
บันทึกไว้เมื่อ : 15 กันยายน 2547
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)