สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๖ ครับ ตั้งใจจะเข้ามาเขียนอะไรบอกกล่าว เพื่อรับปีใหม่ก็มัวแต่ยุ่งๆ กับเรื่องราวของตนเอง ในฐานะราษฎรเต็มขั้น (ต้องจัดการหลายเรื่องราวครับ เขาว่าผมเป็นข้าราชการบำนาญ จริงๆ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ตั้งแต่เดินบนถนนสายนี้มา ๑ ตุลาคม ๒๕๕๕ จนถึงวันนี้ ๕ มกราคม ๒๕๕๖ ยังไม่ได้รับเงินเดือนสักบาท ไม่ทวง ไม่ถาม และก็รู้ว่า หลายๆ คนในราชการมันทำงานแบบเช้าไหเย็นโอ่งมังกรจริงๆ หนี้สินก็มีบ้างตามฐานะแหละก็ค่อยๆ จัดการไป บ่นทำไม?) ทำให้ไม่มีเวลาคิดจะเขียนอะไรมากนัก แค่ตอบคำถามช่วยเหลือเพื่อนฝูงในวงการครูที่สอบถามความคิดเห็น และช่วยเหลือในเรื่องอื่นๆ ก็แทบจะหมดเวลาในแต่ละวันไปเสียแล้ว
วันนี้ไปเจอเรื่องราวดีๆ ในเฟซบุ๊ค (ไม่ใช่เรื่องละครถูกแบนนะ ครับ นั่นนะมันเรื่องของคนคิดไปเอง คนดูคิดอย่าง สถานีคิดอย่าง ฝ่ายค้านก็คิดอีกแบบ รัฐบวมก็เถียงมาอีกแบบ เฮ้อ กระทบกันยิ่งกว่าสตีฟ เดวิด หรือต๋อง ศิษย์ฉ่อย แทงชิ่งสนุ๊กเกอร์เสียอีก ไม่รู้ใครเป็นใครงานนี้อาการน่าเป็นห่วง) แต่เป็น เรื่องจริงจากสาวโรงงานคนหนึ่ง ไม่มีเงินเรียนต่อชั้นมัธยม แต่ด้วยความที่่เป็นคนรักการอ่านตั้งแต่เด็ก และความมานะพยายาม พลิกชีวิตจากลูกชาวนา ไปเป็นสาวโรงงาน จนกลายมาเป็นท่านผู้พิพากษาได้อย่างไร? น่าติดตามและอยากให้เป็นบทเรียนที่ดีๆ สำหรับนักเรียนยุคนี้ที่ไม่เคยมีเป้าหมายในชีวิต
โดย ธรรมมะกับกฎหมาย
17 ธันวาคม 2012 เวลา 10:50 น.
ชีวิต คือ การเดินทางที่แสนไกล บางครั้งเมื่อฉันมองย้อนกลับไปก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ฉันเดินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? ชีวิตของฉันเริ่มต้นที่หมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาแห่งหนึ่ง ในจังหวัดทางภาคอีสานตอนบน ตั้งแต่เด็ก ทุกคนมองว่าฉันเป็นเด็กขี้อาย ไม่กล้าสู้หน้าคนแปลกหน้า ติดยาย เวลาไปไหนมาไหน ยายจะตามไปด้วยตลอดเวลา ในช่วงวัยเรียนประถม ฉันชอบอ่านหนังสือมาก ในขณะที่เพื่อนๆ ไปวิ่งเล่นกัน ฉันก็จะอ่านหนังสืออยู่ในห้องสมุดของโรงเรียน โรงเรียนของฉัน เป็นโรงเรียนเล็กๆ ในชนบทห่างไกล ไม่ค่อยมีหนังสือให้อ่าน ดังนั้น ฉันจึงอ่านหนังสือในโรงเรียน ทุกเล่ม เล่มละหลายๆ รอบ
เมื่อฉันจบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พ่อแม่บอกว่า ไม่มีเงินส่งฉันเรียนในชั้นมัธยมศึกษา ประกอบคนในหมู่บ้านของฉันก็ไม่มีใครเรียนต่อกัน ดังนั้น ฉันจึงต้องหยุดเรียน และออกมาช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา แต่ด้วยความที่ฉันถูกเลี้ยงมาแบบทะนุถนอม ยายไม่เคยปล่อยให้ฉันทำงานบ้านเอง ฉันจึงโตมาแบบทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ทำกับข้าวไม่เป็น ทำไร่ทำนาก็ไม่ไหว จนคนรอบข้าง มองฉันแล้วส่ายหน้า พร้อมกับพูดว่า ถ้าฉันไม่มีพ่อแม่ ยาย แล้ว ชีวิตฉันจะอยู่ได้อย่างไร
ตอนนั้นฉันอายุ ๑๑ ขวบ ฉันมีความคิดว่า ฉันไม่ชอบการทำไร่ทำนา เพราะมันเหนื่อย ฉันอยากเรียนหนังสือสูงๆ ทำงานดี ส่งเงินให้พ่อแม่ ฉันจึงขวนขวายที่จะเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ฉันจึงขอพ่อไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน พ่อก็อนุญาต แต่แม่มีข้อแม้ว่า ฉันจะไม่ได้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ประจำปี ไม่ได้สร้อยคอทองคำใส่ เหมือนกับเพื่อนๆ ในหมู่บ้าน ฉันก็ตกลง
ต่อมาฉันจึงได้ไปเรียนการศึกษานอกโรงเรียน ที่จังหวัดข้างเคียง อยู่ห่างจากหมู่บ้านของฉันประมาณ ๓๐ กิโลเมตร ฉันต้องเดินจากหมู่บ้านประมาณ ๓ กิโลเมตร เพื่อขึ้นรถเมล์ไปเรียนทุกวันอาทิตย์ ยาย เป็นห่วงฉันมาก จึงเดินตามมาส่งฉันทุกอาทิตย์ และรอฉันอยู่ที่ปากทางเข้าหมู่บ้านจนกระทั่งฉันกลับมาในตอนเย็น ภาพที่คนแถวนั้นเห็นจนชินตา คือ จะมียายหลานคู่หนึ่ง เดินขึ้นเขาลงเขา ทุกวันอาทิตย์ ตอนเช้า และตอนเย็น
ฉันใช้เวลา ๒ ปี จึงเรียนได้วุฒิเทียบเท่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ขณะนั้น ฉันอายุ ๑๕ ปีพอดี ฉันจึงขอพ่อแม่ เข้ากรุงเทพเพื่อหางานทำและหาที่เรียนต่อ พ่ออนุญาต และแม่มีข้อแม้ว่า ฉันต้องส่งเงินให้แม่ทุกเดือน เพราะถ้าฉันไปก็ไม่ใครช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา หลังจากนั้น ฉันและเพื่อนในหมู่บ้านอีกหลายคนก็ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่ โรงงานปลาทูน่ากระป๋อง ในจังหวัดนครปฐม ฉันและเพื่อน ทำงานวันแรกก็คลื่นไส้ เป็นลม เพราะเหม็นปลาทูน่า มีหลายคนที่ทำงานไม่ไหว และลาออกในวันรุ่งขึ้น ส่วนฉันคิดว่าฉันทนได้ เพราะเป้าหมายของฉันคือการได้เรียนต่อ ฉันคิดว่าที่นี่เหมาะกับฉัน เพราะฉันทำงานเข้ากะกลางคืน ในเวลากลางวันฉันก็จะสามารถไปเรียนต่อได้ตามความฝัน และฉันเห็นพนักงานที่โรงงานนี้ ก็เรียนต่อที่ศูนย์การศึกษานอกโรงเรียนกันหลายคน
ฉันรู้สึกประทับใจกับคำพูดของเจ้าหน้าที่ฝ่ายบุคคล ที่บอกว่า "อย่าคิดว่างานที่ทำเป็นงานที่ต่ำต้อย งานทุกอย่างมีคุณค่าในตัวเอง" ซึ่งฉันก็เห็นด้วย และคิดว่าฉันได้เรียนรู้อะไรมากมายจากการทำงานนี้ เป็นต้นว่า การฝึกความอดทน ไม่ย่อท้อต่อการทำงานหนัก ซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้จิตใจเข้มแข็ง สามารถฝันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ไปได้ ฉันทำงานอยู่ได้หนึ่งเดือน ทางโรงงานประสบปัญหาขาดทุน และเลิกจ้างพนักงานใหม่ ฉันจึงต้องออกจากงาน และย้ายไปทำงานโรงงานทอผ้า อีกแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน ทำงานอยู่ได้หกเดือน ฉันก็ยังมองไม่เห็นหนทางที่จะได้เรียนต่อ ฉันจึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้าน
อยู่บ้านได้สักพัก ฉันก็ชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ไปหางานที่อำเภอ เราสัญญากันว่า จะไปหางานทำด้วยกันและหาที่เรียนด้วยกัน จากนั้น ฉันและเพื่อนถูกส่งไปทำงานที่โรงงานผลไม้กระป๋อง ทำงานได้สักระยะ เพื่อนของฉันบอกว่า เค้าทนลำบากไม่ไหวแล้ว อยากจะกลับบ้าน ตัวฉันยังไม่อยากกลับบ้าน แต่ไม่มีเพื่อนอยู่ด้วย ฉันก็กลัว จึงต้องตามเพื่อนกลับบ้าน พอกลับไปอยู่บ้านสักพัก ฉันก็หาเพื่อคนใหม่ เพื่อไปหางานทำด้วยกันอีกครั้ง ฉันและเพื่อนอีกสี่คน ไปหางานที่สำนักจัดหางานประจำอำเภอ และถูกส่งกลับไปทำงานที่โรงงานปลากระป๋อง ในจังหวัดนครปฐม ที่เดียวกับที่ฉันเคยไปครั้งแรก
ขณะนั้นกิจการดีขึ้นแล้ว ฉันรู้สึกดีใจมาก และคิดว่าคราวนี้คงได้เรียนต่อสมใจซะที หลังจากทำงานได้สักระยะ ฉันก็สมัครเรียนการศึกษานอกโรงเรียนใกล้ๆ กับที่ทำงาน แต่แล้วฉันก็ประสบปัญหาเดิมๆ นั่นคือ เพื่อนที่มาจากหมู่บ้านเดียวกัน เค้าอยากจะกลับบ้านอีกแล้ว ฉันจึงตัดสินใจที่จะไม่ตามเพื่อนกลับบ้าน และนั่นเป็นครั้งแรกที่ฉันต้องอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า โดยไม่มีคนจากหมู่บ้านเดียวกันอยู่ด้วย และแล้ว ฉันก็ผ่านมันไปได้ด้วยความเหน็ดเหนื่อย ท้อแท้
สิ่งที่ฉันยังจำได้ติดใจ คือ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันเดินเข้าไปขออนุญาตหัวหน้างาน ขอเลิกงานห้าโมงเย็น โดยไม่ทำโอทีต่อถึงสองทุ่ม เพราะวันรุ่งขึ้นฉันต้องไปสอบ คำตอบที่ฉันได้รับคือ หน้าตาบึ้งตึงของหัวหน้างาน พร้อมกับคำพูดเสียงแข็งว่า ไม่ได้ งานก็คืองาน วันนั้นฉันจึงต้องทำงานถึงสองทุ่ม และไปสอบในตอนเช้า โดยมีเวลาอ่านหนังสือเพียงน้อยนิด แต่ในที่สุด ฉันก็ได้วุฒิ ม. ๖ มาครอบครอง ซึ่งในเวลานั้น ฉันไม่รู้ว่าจะเอาวุฒิ ม. ๖ ไปทำงานอะไร หรือเรียนอะไร มีแต่คนรอบข้างที่บอกฉันว่า ขนาดคนที่เรียนในระบบโรงเรียน ยังตกงาน ยังไม่สามารถเรียนให้จบมหาวิทยาลัยได้เลย แล้วเด็กบ้านนอก จบ กศน. อย่างฉัน จะไปทำอะไรได้ ตอนนั้น ฉันเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ จึงตัดสินใจกลับไปตั้งหลักที่บ้านอีกครั้ง
พอกลับไปบ้านสักพัก ความอยากเรียนต่อของฉันก็เร่งรัดให้ฉันเข้ามากรุงเทพฯ อีกครั้ง เพื่อหางานทำและหาที่เรียน คราวนี้ฉันมาทำงานก่อสร้าง พร้อมกับคนในหมู่บ้าน โดยมีแม่ตามมาทำงานด้วย ฉันทำงานก่อสร้างอยู่ได้เจ็ดวัน ก็เหน็ดเหนื่อยมากๆ จึงออกไปสมัครงานโรงงานอีกครั้ง และได้ทำงานโรงงานทำชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แห่งหนึ่ง ในจังหวัดสมุทรปราการ เมื่อได้งานแล้วฉันก็ส่งแม่กลับบ้านนอก ฉันชอบที่นี่มาก งานสบาย สวัสดิการดี กว่าโรงงานที่ฉันเคยทำเยอะ ฉันตั้งใจว่า จะสมัครเรียนรามคณะรัฐศาสตร์ เพราะมีคนบอกว่า จบ กศน. อย่างฉัน เรียนได้แค่รัฐศาสตร์รามเท่านั้น ฉันทำงานที่นี่ได้สี่เดือน และกำลังจะสมัครเรียนราม แต่อนิจจา โรงงานที่ฉันทำงานอยู่ มีนโยบายไม่รับพนักงานประจำ คือจะจ้างพนักงานแค่สี่เดือนแล้วเลิกจ้าง จากนั้นก็รับสมัครพนักงานใหม่ ฉันจึงถูกเลิกจ้างด้วยประการฉะนี้ เมื่อตกงาน ฉันจึงต้องพักเรื่องการสมัครเรียนต่อไว้ก่อน
ต่อมาฉันได้งานใหม่ ที่โรงงานทำเครื่องแฟกซ์ แถวอำเภอบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่นี่ เงินเดือนไม่ได้เท่าที่เดิม แต่ก็วันหยุดเยอะดี ต่อมาฉันก็วางแผนจะสมัครเรียนรามอีกครั้ง ตอนนั้นฉันคิดว่า ฉันคงเรียนสาขารัฐศาสตร์ไม่ได้ เพราะวิชาพื้นฐานเยอะมาก และฉันไม่ได้เรียนมัธยมในระบบโรงเรียน คงตามเพื่อนไม่ทัน ส่วนคณะนิติศาสตร์ วิชาพื้นฐานน้อยดี วิชาหลักก็ไม่มีสอนในชั้นมัธยม มาเริ่มต้นพร้อมกัน ฉันคงพอเรียนได้
ปีแรก ฉันก็ลงทะเบียนเรียน ตามวันเวลาว่าง เพื่อจะได้ลางานให้น้อยที่สุด บางครั้งฉันลงทะเบียนเรียนสองวิชา ที่สอบวันเดียวกัน ผลคือ ตอนเช้าสอบรามหนึ่ง ตอนบ่ายสอบรามสอง ตอนดึก ก็ไปทำงาน ผลสอบในปีหนึ่งเป็นที่น่าพอใจ ฉันสอบผ่านเป็นส่วนใหญ่ พอเริ่มปีสอง วิชาเรียนเริ่มยากขึ้น ฉันคิดการการทำงานโรงงานหนักเกินไป และไม่เหมาะแก่การเรียน ฉันตัดสินใจลาออกจากงานโรงงาน มาทำงานร้านเซเว่น ใกล้กับมหาวิทยาลัย ช่วงไหนที่เข้ากะดึกและกะบ่าย ฉันก็จะหาโอกาสไปนั่งฟังคำบรรยาย ขณะนั้นฉันยังไม่มีเพื่อนเลยแม้แต่คนเดียว ฉันจึงตัดสินใจ เข้าไปฝึกอบรมการพูดที่ ศูนย์พัฒนาการพูดรามคำแหง ที่นี่ฉันมีเพื่อนมากมายและไม่อยากจะทำงานอีกต่อไป ประกอบกับช่วงนั้นมีโครงการกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา ฉันจึงตัดสินใจ ลาออกจากงานและกู้เงินเรียน
ฉันใช้เวลาสามปีก็จบการศึกษาในระดับปริญญา ตรี จากนั้นก็ไปเรียนต่อที่เนติฯ อีกหนึ่งปี ก็จบเนติฯ ช่วงที่เรียนรามและเรียนเนติฯ ฉันไม่มีเงินซื้อหนังสือข้างนอกมาอ่าน ฉันจึงใช้วิธียืมหนังสือจากห้องสมุดมาอ่าน เมื่อยืมมาแล้วก็ต้องอ่านให้จบ ทำโน๊ตย่อไว้เพื่อทบทวนเพราะไม่ใช่หนังสือของเรา ตลอดเวลาสามปีที่รามและหนึ่งปีที่เนติ ฉันอ่านหนังสือในห้องสมุดแทบทุกเล่ม ตอนนั้นฉันสงสารตัวเองมากที่ไม่มีเงินซื้อหนังสือมาอ่าน แต่พอมองย้อนกลับไป พบว่า นั่นคือข้อดีอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ฉันมีความตั้งใจ อ่านหนังสือให้ได้เยอะๆ เร็วๆ ฉับพบว่า หลังจากที่ฉันมีเงินซื้อหนังสือแล้ว ความขยันอ่านหนังสือหายไปเพราะคิดว่า หนังสือเป็นของเรา จะอ่านเมื่อไหร่ก็ได้ สุดท้าย ฉันมีหนังสือเต็มห้องแต่ยังอ่านไม่ครบทุกเล่ม
ในช่วงสองปีที่ราม และหนึ่งปีที่เนติฯ เป็นครั้งแรกที่ฉันมีโอกาสได้ฟังคำบรรยายที่มีอาจารย์สอนแทนการอ่านหนังสือ ในขณะที่คนอื่นคิดว่าการนั่งเรียนเป็นเร่ืองน่าเบื่อ อ่านหนังสืออย่างเดียวดีกว่าเร็วดี แต่สำหรับฉันแล้วรู้สึกว่าเป็นเร่ืองโชคดีมากที่มีโอกาสได้รับทั้งความรู้ และประสบการณ์โดยตรงจากผู้สอน บางครั้งอาจารย์ไม่ได้ถ่ายทอดเฉพาะความรู้เท่านั้น แต่ยังถ่ายทอดประสบการณ์ดีๆ ที่ท่านเคยมีประสบการณ์มาให้เราด้วย ดังนั้น ฉันจึงตั้งใจเรียน เก็บเกี่ยวทั้งความรู้ และประสบการณ์ที่มีคุณค่าของท่าอาจารย์ มาปรับใช้ในการเรียนและการดำเนินชีวิตประจำวัน
หลังจากจบปริญญาตรี ฉันเคว้งคว้างอยู้สักพัก หางานทำไม่ได้ ฉันไม่ค่อยชินกับการเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ทำงาน ฉันสัญญากับตัวเองว่า ถ้าหางานทำได้แล้วฉันจะตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุด ต่อมา ฉัน สอบเข้าบรรจุเป็นข้าราชการ ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ปีแรกที่ทำงานที่นี่ฉันมีความสุขมากๆ ฉันประทับใจกับการอบรมพนักงานใหม่ ซึ่งให้ข้อคิดกับฉันว่า อะไรก็ตามถ้าเราทำถูกวิธีมันจะไม่เหนื่อย และประสบความสำเร็จได้ง่าย ถ้าเราทำอะไรแล้วเหนื่อยและไม่ได้ผล แสดงว่าเราทำผิดวิธีเราต้องหาวิธีการใหม่ ฉันก็ได้ใช้หลักการข้อนี้ มาปรับใช้กับการเตรียมตัวสอบผู้พิพากษา เพื่อนๆ ที่บรรจุพร้อมกันบอกว่างานที่นี่เหนื่อย หนัก เครียด แต่ในความรู้สึกของฉันคือ สบายกว่างานโรงงานที่ฉันทำตั้งเยอะ
ในการเตรียมตัวสอบผู้ช่วยผู้พิพากษา บางครั้งเมื่อฉันเห็นคนที่อ่านหนังสือสอบอย่างเดียว ฉันก็นึกอิจฉาอยากเป็นแบบนั้นบ้าง แต่ทำไม่ได้เพราะมีภาระครอบครัวมากมาย มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ฉันลาพักผ่อน และไปนั่งอ่านหนังสือสามวันเต็มทั้งวัน โดยไม่พัก ฉันอ่านจูริส จบไปสองสามเล่ม และฉันรู้สึกว่าความรู้เต็มหัวจนหนักอึ้ง เพราะสมองซึมซับไม่ทัน ฉันเห็นหนังสือแล้วรู้สึกเวียนหัว อ่านหนังสือไม่ได้ไปอีกสองอาทิตย์ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า การศึกษาหาความรู้ ไม่ใช่การนำข้อมูลจำนวนมหาศาลมายัดใส่สมองภายในครั้งเดียว ยิ่งมากเท่าไหร่ยิ่งดี แต่เป็นการค่อยซึมซับความรู้ทีละน้อย และฝึกฝนจนเชี่ยวชาญ จุดสำคัญอยู่ที่ความต่อเนื่อง ถ้าเราอ่านหนังสือแค่วันละสองชั่วโมง แต่สามารถจนจำและนำไปปรับใช้ได้ มันจะเป็นความเข้าใจที่นานเท่าไหร่ก็จะไม่ลืม ถ้าเราทำได้ต่อเน่ืองทุกวัน ความรู้ที่มีจะค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้น เรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้องเหนี่อยฟรี
นับแต่นั้นฉันจึงคิด เป็นความโชคดีของฉันที่ได้ ทำงานและเรียนด้วยมาโดยตลอด มันทำให้ฉันมีทั้งความรู้และประสบการณ์ที่นำมาใช้ด้วยกันได้อย่างลงตัว แต่สิ่งหนึ่งที่ฉันพลาดไปก็คือ ฉันประมาทไปหน่อย ตอนที่ยังอายุไม่ครบที่จะสอบผู้พิพากษา ฉันก็ไม่ค่อยได้เตรียมตัว มัวแต่สนุกกับงาน สนุกเพื่อนใหม่ สถานที่แปลกใหม่ และคิดว่าอายุไม่ครบ ก็ยังไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย พอฉันมีคุณสมบัติครบที่จะสอบผู้พิพากษาได้ และเริ่มเตรียมตัวอย่างจริงจัง ก็รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านมา คิดว่าเราน่าจะเตรียมตัวก่อนหน้านี้ตั้งนานแล้ว และนั่นทำให้ฉันสอบผู้พิพากษาครั้งแรกไม่ผ่าน แต่ก็ยังดี ที่ฉันยังสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองได้เร็ว และสามารถแก้ไขได้ จนทำให้สอบผ่านได้อย่างเฉียดฉิวในการสอบครั้งที่สอง
นับจากวันที่ฉันสอบผ่าน ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา จนถึงวันนี้ เป็นเวลาแปดปีเศษ หลายครั้งที่มองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่า แทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กบนดอยคนหนึ่ง จะมายืนจุดนี้ได้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันมีวันนี้ได้ คือความรักแบบไม่มีเงื่อนไขของคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ยาย น้องสาว แม้พวกเค้าจะไม่เข้าใจว่า ฉันจะเรียนไปทำไมเยอะแยะมากมาย รู้แต่ว่าฉันอยากเรียน ก็สนับสนุนทุกทางเท่าที่จะทำได้
ในขณะที่คนในหมู่บ้านมีแนวคิดว่า การเรียนหนังสือไม่มีประโยชน์ เสียเวลาทำมาหากิน และมีตัวอย่างของคนในหมู่บ้านที่ไปเรียนจบมาแล้ว ก็แต่งงานเลี้ยงลูกโดยไม่ได้ประกอบอาชีพตามที่เรียนมาเลย ดังนั้น พวกเค้าจึงไม่คิดที่จะส่งลูกหลานเรียนต่อ ตอนนั้นฉันชวนเพื่อนไปเรียนต่อด้วยกัน แต่พ่อแม่ของเพื่อนไม่อนุญาต และซื้อเครื่องเสียงให้เป็นการปลอบใจ โดยให้เหตุผลว่า เครื่องเสียงฟังได้ทั้งครอบครัว แต่การเรียนต่อ คนในครอบครัวไม่ได้ประโยชน์อะไรด้วย
ส่วนพ่อของฉันอยากให้ฉันเรียนอยู่แล้ว แต่ไม่มีเงินส่งเรียน เมื่อฉันขอไปเรียน กศน. พ่อก็อนุญาต ส่วนแม่และยายแม้จะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่เคยห้าม มีแต่ช่วยสนับสนุนทุกทาง ยายมารับส่งทุกครั้งที่ไปเรียน ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานกรุงเทพฯ แม่และยายก็ยอม แม้ว่าจะคิดถึงและเป็นห่วงฉันมากแค่ไหน คนข้างบ้านบอกว่าแม่ฉันจิตใจเข้มแข็งมากๆ ที่ยอมให้ลูก อายุไม่ถึงยี่สิบปีมาอยู่กรุงเทพฯ เพียงลำพัง ฉันคิดว่าที่แม่ยอมเพราะแม่เชื่อว่าฉันดูแลตัวเองได้ดี และฉันสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ทำให้ครอบครัวผิดหวัง ส่วนน้องสาวคนเดียวของฉัน ฉันรักเค้ามาก และเค้าก็รักฉันมากเช่นเดียวกัน
ในขณะทำงานฉันส่งเงินกลับบ้าน เพื่อให้น้องสาวได้เรียนต่อ ซึ่งเค้าก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวัง เค้าเรียนดี ตั้งใจเรียน มาโดยตลอด โดยที่ฉันไม่ต้องแนะนำสั่งสอน น้องเดินมาในทางเดียวกันกับที่ฉันเดิน ฉันดีใจที่สามารถเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้องได้ บางทีฉันก็รู้สึกว่าน้องสาวของฉันอาจจะรู้สึกกดดัน ที่ใครก็ชื่นชมฉันและคาดหวังว่าน้องจะทำได้เหมือนฉัน ฉันอยากจะบอกน้องสาวว่า ถึงแม้วันนี้น้องจะทำไม่ได้เท่าพี่ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ต่างกัน ฉัน ก็รักและภูมิใจในตัวเค้ามาก และดีใจที่ได้เกิดมาเป็นพี่น้องกัน อะไรที่พี่จะช่วยให้น้องประสบความสำเร็จได้พี่ก็พร้อมจะทำ อย่างเช่น การเปิดเพจธรรมมะกับกฎหมาย เพื่อแนะนำการเรียนกฎหมาย พี่เขียนเพจนี้ขึ้นมาก็เพราะคิดว่าเพจนี้จะเป็นประโยชน์กับน้องของพี่ และคนอื่นๆ
เมื่อก่อนฉันเคยคิดว่า ฉันมาจากครอบครัวที่ยากจน แต่วันนี้ฉันรู้แล้วว่าครอบครัวของฉัน เป็นครอบครัวที่อบอุ่น สมบูรณ์ที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตฉันไม่เคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเลย เงินทุกบาทที่หามาได้ พ่อจะให้แม่เก็บทั้งหมด หากพ่อเอาเงินไปใช้ พ่อจะกลับมาบอกแม่ว่าใช้อะไรไปบ้าง ที่เหลือจะคืนแม่ทั้งหมด พ่อไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใส่เอง แม่ซื้อเสื้อผ้าแบบไหนให้ก็ใส่แบบนั้น โดยไม่พูดอะไรสักคำ พ่อแม่ทำงานหนักเพื่อมาเลี้ยงดูครอบครัว ยายเลี้ยงดูฉันอย่างดี ตอนเด็กฉันไม่เคยถูกตี เพราะมียายคอยปกป้องอยู่เสมอ ญาติพี่น้องทุกคนรักกันและคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง และความรักในหัวใจ ที่พร้อมจะเดินตามความฝันของตัวเอง และแบ่งปันความรักให้แก่คนรอบข้าง ทำให้ฉันเรียนรู้ว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะให้แก่คนที่เรารักได้คือ การให้เค้าได้เป็นตัวเอง ได้ทำในส่ิงที่รัก และอยากมีความสุขที่จะทำ และนี่คือสิ่งที่ฉันได้จากครอบครัวของฉัน
สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ทำให้ฉันเดินมาถึงตรง นี้ได้ นั้น คือ ฉันมีเป้าหมายชัดเจน และหาวิธีการเดินไปสู่จุดหมายนั้น ฉันไม่เคยยอมแพ้ ทุกครั้งที่ทุกอย่างไม่เป็นไปดังหวัง ฉันก็จะบอกกับตัวเองว่า มันต้องมีวิธีการอื่นที่ให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จได้ ทุกเรื่องราวในชีวิตที่ผ่านมาไม่ว่าดีหรือร้าย ก็สามารถเป็นครูสอนเราได้ สิ่งที่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ควรทำตาม สิ่งที่ไม่ดีเราก็ดูไว้เป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำตาม คนเราเกิดมาเพื่อเรียนรู้และเติบโตขึ้น คนเราไม่รู้หรอกว่า ทำกรรมอะไรไว้ จึงได้ตัวตนแบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ แต่ถึงวันนี้ วันที่เรายังมีลมหายใจอยู่กับปัจจุบันขณะ เราสามารถเลือกได้ว่าจะเดินไปตามเส้นทางที่กรรมเก่าขีดเส้นไว้ หรือเลือกที่จะสำรวจข้อบกพร่องตัวเอง เลือกแก้ไขนิสัยเสียๆ ของตัวเอง และเลือกแก้ไขในส่ิงที่ผิด เลือกหาวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง หาตัวเองให้เจอ แทนการเลือกโทษโชคชะตาฟ้าดิน พ่อแม่ คนรอบข้าง
รายการ
รายการ
รายการ
ข้างบนนี้ คือ บทความที่ผมคัดลอกมาอีกต่อหนึ่ง หวังว่ามันจะเป็นบทเรียนที่ทรงคุณค่าสำหรับใครหลายๆ คนโดยเฉพาะเยาวชนของชาติ ที่ทุกวันนี้ขาดความมุมานะพยายาม ทั้งๆ ที่มีโอกาสดีๆ มีคนหนุนหลังช่วยเหลือ ได้เรียนในโรงเรียนดีๆ เพียบพร้อม แต่อนิจจา... พวกเขากับหลงมัวเมาอยู่ในวังวนของตัวอย่างเลวๆ ในสังคมอีกเยอะแยะ ทำนองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว...
>>> สำหรับที่มาจากเพจนี้นะครับไปกด Like กันได้เลย : ธรรมมะกับกฎหมาย
ข้อความข้างล่างนี่ก็โดนใจจากครูน้อยคน หนึ่งในเฟซบุ๊ค (ไม่ขอเอ่ยนามนะน้อง เดี๋ยวเจ้านายจะหมายหัวเอาได้ ส่วนพี่นะราษฎรแล้วคงไม่มีใครหมายหัว นอกจากหมั่นไส้ ใครอยากรู้ก็ถามหลังไมค์มาแล้วกัน)
"เมื่อผล สัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับชาติของนักเรียนตกต่ำ บรรดานักวิชาการทั้งหลายก็ดาหน้าออกมาวิเคราะห์วิจัยว่าทำไม?? ผลสรุปที่ได้ก็ตรงกันว่าปัญหาอยู่ที่ "คุณภาพครู" ทั้งๆ ที่ก็ครูคนเดิมนั่นแหละ แต่มีอยู่ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อการปฏิบัติงานของครูเป็นอย่างมากที่บรรดานัก "วิชาการ" ที่ไม่ได้อยู่ในโรงเรียนไม่เคยรู้ คือ "ผู้บริหารสถานศึกษา" บางโรงเรียนเมื่อมีการเปลี่ยนตัวผู้บริหารก็ทำให้ผลสัมฤทธิ์ตกต่ำ หรือสูงขึ้น
ที่กล่าวมาอาจจะทำให้มองได้ว่าเป็นการ "โยนความผิด, ปัดสวะ" ไปให้ผู้บริหาร เพราะไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนผู้บริหารสักกี่คน ครูก็ควรจะมีจิตวิญญาณของความเป็นครู โดยทำหน้าที่สอนอย่างเต็มศักยภาพ หากแต่ในความเป็นจริงแล้วหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ อุปมาเหมือน เมื่อลิงขึ้นเป็นเจ้าป่าได้ปกครองเหล่าราชสีห์แล้ว จิตวิญญาณแห่งราชสีห์ก็คงหดหายไปไม่น้อยกว่าครึ่ง ฉันใดก็อิ่มนั่น (นี่ล้อเลียนพระหรือเปล่า?)
ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา ต่างก็สำรอกออกมาตรงกันว่า ต้องพัฒนาคุณภาพครูอย่างเร่งด่วน ถึงขนาดมีการออกหลักสูตร 5 ปี บ้าง 6 ปี บ้าง โดยที่ไม่มีใครพูดถึงผู้บริหารสถานศึกษาเลย และการเข้าสู่ตำแหน่งผู้บริหารสถานศึกษานั้น ข้อกำหนดเดียว ที่พอจะบ่งบอกถึงคุณภาพได้ก็คือ ทุกคนต้องมีปริญญาทางการบริหารการศึกษา แต่ข้อกำหนดนี้ก็ถูกกระทำชำเรา ด้วยหลักสูตรการบริหารการศึกษาที่ไม่ได้คุณภาพ และก็มีผู้บริหารสถานศึกษาจำนวนไม่น้อยที่ผ่านหลักสูตรเหล่านี้ และมีแนวโน้มที่จะสร้างปัญหาให้ครูผู้สอนต่อไป
น่าจะถึง เวลาแล้วที่ทุกองค์กร ทุกหน่วยงาน ต้องหันมามองภาพรวมของผู้บริหารสถานศึกษา ว่า มีคุณภาพเป็นอย่างไร มีสมรรถนะที่เหมาะสมที่จะเป็นผู้บริหารสถานศึกษาหรือไม่ เพราะผู้ บริหารสถานศึกษานั้นนับได้ว่า มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าครูผู้สอน อุปมาเหมือนทีมฟุตบอลถ้ามีผู้จัดการที่เก่ง ดีและมีกึ๋น ผลงานการแข่งขันของทีมก็จะออกมาดี แต่ถ้าทีมนั้นได้ผู้จัดการทีมที่ไม่เก่ง ไม่ดี ไม่มีกึ๋น ผลงานการแข่งขันของทีมก็ย่อมไม่ดีตามไปด้วย ทั้งๆ ที่ก็ใช้นักเตะชุดเดียวกัน ฉันใดก็อิ่มนั่น." (อีกแหละ พระไม่เกี่ยวน้อง)
ความเห็นของผมเพิ่มเติมต่อกรณีนี้ คือ ครูทุกคนต้องมุ่งมั่น พยายามในการจัดการสอนให้มีคุณภาพ มีมาตรฐานสู่สากล World Class ให้ได้ ส่วน ผอ. ขอทำสวนหย่อม ทาสีอาคาร ทุบรื้อรั้วเก่าๆ โทรมๆ มาก่ออิฐถือปูน ป้ายชื่อโรงเรียนทำใหม่ ด้วยหินอ่อนอลังการ เพราะ ผอ. ถนัด (มันจะถนัดอะไรนักหนา เออแต่ว่าปลูกหญ้า ปลูกต้นไม้มันไม่มีราคากลางเนาะ อิฐ หิน ปูนทราย มันก็มีราคาและสิ่งที่ ผอ. ควรได้ ใช่ไหม?)
ถ้าแม้แต่ ผู้อำนวยการ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ มองไม่เห็นความสำคัญของงานวิชาการว่า เป็นงานยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งในโรงเรียน ก็อย่าหวังที่การพัฒนาการศึกษามันจะก้าวหน้าไปได้ คงได้แต่กินบุญเก่า ชื่อเสียงที่เคยสั่งสมมาในอดีตเท่านั้นแหละ ต่อให้อบรมด้วยหลักสูตรชั้นเลิศ มีครูดีเต็มโรงเรียน แต่ผู้ที่กุมบังเหียนกำกับนโยบายการจัดการศึกษาตาบอด มือไม่พายเอาเท้าราน้ำ ก็อย่าได้หวังว่ามันจะพัฒนาขึ้น นอกจากการผลาญงบประมาณให้หมดๆ ไปตามโครงการที่เจ้านายสั่งมา อมิตตพุทธ...
ขอให้เพื่อนพ้องครูสู้ต่อไปนะครับ ผมคงเป็นได้แค่กำลังใจเท่านี้แหละ...!!!
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)