เห็นข่าวการศึกษาไทยแล้ว ก็หัวร่อมิได้ ร้องไห้ไม่ออกจริงๆ ที่บอกว่า ประเทศไทยปฏิรูปการศึกษามานานนับสิบปีนั้น มันเป็นเรื่องเสียเปล่า เสียทั้งเวลาและงบประมาณมากมายมหาศาล แน่นอนว่า "เงิน" งบประมาณที่หว่านลงไปนั้นล้วนผ่านตะแกรงร่อนสูญหายไปมากมายระหว่างทาง ไม่รู้ล่ะว่ามันไปเข้าพกเข้าห่อใครบ้าง ทิ้งไว้แต่ซากความเสียหายให้เห็นตำตาอยู่ทุกวัน ไม่เชื่อก็ลองไปดูเถอะครับ ไม่ว่าจะโรงเรียนบ้านนอก ในเมือง ที่ได้รับ "ครุภัณฑ์การศึกษา" ที่โรงเรียนไม่อยากได้ กองเป็นซากเต็มไปหมด ไม่รู้มันมาได้อย่างไร?
ดูข่าวเรื่องระดับมาตรฐานการศึกษาไทยที่มีการประเมินทั้งแบบจริงจัง แบบกวาดตาผ่านล้วนออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า "รูดทะราดต่ำเรี่ยติดดินในอาเซียน" อนาถใจจริงๆ ครับ ก่อนจะกล่าวถึงว่า "เราควรทำอย่างไรดีในสถานะการศึกษาไทยที่ตกต่ำเยี่ยงนี้?" ขอนำบทความเรื่องการศึกษาที่หลายคนอ่านแล้วน้ำตาซึม มีที่มาจากบทความในนิตยสารจีนฉบับหนึ่ง ที่เพื่อนผู้ปรารถนานีคัดลอกมาให้อ่าน เลยขอส่งต่อมายังที่นี่ด้วยครับ ตามหัวข้อเลย "พ่อที่ไม่รู้จักหนังสือสักตัว..."
ณ โรงเรียนแห่งหนึ่ง ชานเมืองใหญ่ที่ได้ชื่อว่าพัฒนาไปไกล เป็นหน้าตาของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ เช้าวันนั้นเป็นวันประชุมผู้ปกครองของนักเรียน
เจ็ดนาฬิกาตรง ผู้ปกครองนักเรียนทะยอยกันมาถึง เซ็นชื่อรายงานตัว หาที่นั่งของเด็กตนเองแล้วนั่งลง ภายในห้องประจำชั้นเรียนของเด็ก และที่นั่งของเด็กของตนเอง ยามที่มาเรียนตามปกติ
มองออกเลยว่า ทุกคนแต่งตัวมาอย่างพิถีพิถัน เสื้อผ้าล้วนใหม่เอี่ยม แตกต่างกันที่ บางคนสีฉูดฉาด บางคนสีเรียบง่าย มีเพียงสองรายที่แต่งโชว์อกอึ่มสะโพกใหญ่ เดินในห้องเรียนแล้วทำให้รู้สึกไม่เหมาะสม
ตอนลงชื่อรายงานตัว ผู้ปกครองบางคนมารยาทดี บางคนไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา บางคนละเอียดรอบคอบกับสิ่งเล็กน้อยเกินไป บางคนอวดเบ่งทำตัวอย่างกับข้านี่แหละผู้ยิ่งใหญ่
โดยเฉพาะมีผู้ปกครองท่านหนึ่ง กิริยามารยาทแตกต่างจากคนอื่นๆ ทำให้ผู้ปกครองท่านอื่นมองเธอด้วยสายตาระอา รังเกียจ เพราะเธอแรกเห็นคุณครู ก็เอ่ยปากต่อว่า "คุณครู มิน่าล่ะผลการเรียนของ×××ถึงย่ำแย่นัก เป็นเพราะพวกคุณ จัดให้เขานั่งอยู่แถวหลังสุด"
พูดจบ เธอก็หยิบปากกาเซ็นชื่อแล้วโยนทิ้งลงบนโต๊ะ ยืดอก แล้วเดินไปใกล้แท่นพูดที่สุด ไม่สนใจว่าจะเป็นที่นั่งของใคร ก็นั่งลง รองเท้าส้นสูงสีกับพื้นปูน เสียงนั้นช่างแสบแถ้วหูนัก
การกระทำเยี่ยงนี้ ผู้ปกครองท่านอื่นล้วนส่ายหัว คุณครูใช้หางตามองเธอ แล้วไม่ได้สนใจเธออีก รอต้อนรับผู้ปกครองรายอื่นที่มาเซ็นชื่อรายงานตัว
การประชุมเริ่มเจ็ดโมงครึ่ง ใกล้จะถึงเวลา คุณครูเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนังถี่ขึ้น อีกทั้งคอยตอบคำถามทั่วๆ ไปของผู้ปกครอง
เมื่อถึงเวลาแล้ว คุณครูให้สัญญานผู้ปกครองให้อยู่ในความสงบ ประตูได้ถูถปิดลงอย่างเบาๆ ช้าๆ คุณครูทำการทดลองเสียง กำลังอ้าปากจะพูด ประตูที่พึ่งถูถปิดลง ก็ค่อยๆ เปิดออกอีกครั้ง
เป็นผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่ง แสดงตัวอยู่หน้าประตู ทั้งตัวคลุกไปด้วยฝุ่น ใบหน้ายิ้มเจื่อนๆ ใช้สำเนียงปนด้วยภาษากวางตุ้งพูดกับคุณครูว่า
"ขออภัย"
แม้เสียงไม่ดัง แต่กลับเรียกความสนใจจากผู้ปกครองคนอื่นๆ ทั้งหมดล้วนหันไปมอง เห็นเขาสวมเสื้อทำงานสีน้ำเงินที่สีตกจนซีดแล้ว บนเสื้อมีรอยคราบสีเป็นจ้ำๆ ส่วนกางเกงเปื้อนไปด้วยฝุ่น ข้างหนึ่งห้อยลงอีกข้างถลกขึ้น สวมรองเท้าบูทที่โคลนดินติดไปทั่ว แค่เห็นก็รู้ได้ว่า พึ่งจะรีบมาจากสถานที่ก่อสร้าง
คุณครูเอ่ยขึ้นว่า "ผู้ปกครองท่านนี้ ขอเรียนถามว่า เด็กของท่านคือ......."
เขาตอบเบาๆ "ผมเป็นพ่อของ หวังจื้อห้าว"
คุณครูตอบ "อ๋อ.." คุณครูแสดงความแปลกใจออกมาทางสีหน้า
เขายังคงถามอย่างสุภาพว่า "ขอเรียนถามคุณครู ผมนั่งตรงไหน ?"
เมื่อมองไปภายในห้องเรียนซึ่งเต็มไปด้วยผู้ปกครอง ไม่สามารถหาที่นั่งของคุณพ่อหวังจื้อห้าวที่ถามหาเจอได้ทันที ห้องเรียนเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
"ก็คือที่ว่างที่อยู่ข้างขวามือของคุณ"
พูดจบคุณครูหันกลับไปมองคุณพ่อของหวังจื้อห้าว แล้วพูดว่า
"รบกวนท่านเซ็นชื่อรายงานตัวด้วย ปากกาอยู่นี่แล้ว"
คุณพ่อของหวังจื้อห้าวถือปากกาไว้ ใบหน้าเคร่งเครียด ถือสมุดรายชื่อหมุนรอบแทบจะ 360 องศา ก็ยังไม่รู้ว่าจะเซ็นลงตรงไหน
คุณครูคิดว่าเขาหารายชื่อของหวังจื้อห้าวไม่พบ ใช้นิ้วชี้ให้ดูทันทีพร้อมพูดว่า
"คุณเซ็นชื่อช่องนี้เลย"
"คุณ...คุณครู ผม...ผมอ่านหนังสือไม่ออก"
พูดจบ พ่อของหวังจื้อห้าวก้มหัวลงต่ำมากๆ ภายในห้องเรียนเกิดเสียงหัวเราะขึ้นอีกครั้ง
"อ้อ ! ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ผมเซ็นแทนแล้วกัน เรียนเชิญคุณกลับไปนั่งที่ของหวังจื้อห้าว"
จากนั้นคุณครูได้หันไปกล่าวกับผู้ปกครองทุกคน "ผู้ปกครองทุกท่าน การประชุมผู้ปกครองในวันนี้ เป็นครั้งสุดท้ายของเทอมนี้ ขอบคุณผู้ปกครองทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ และสนับสนุนกิจกรรมตลอดมา
วันนี้ เรื่องยาวขอพูดสั้นๆ ก็คือ ใคร่ขอเรียนเชิญผู้ปกครองที่มีเด็กผลการเรียนดี ขึ้นมาบอกเล่าวิธีการและเคล็ดลับในการ อบรมสั่งสอนเด็กของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?"
ห้องเรียนเกิดเสียงฮื่อฮาโกลาหล คุณครูโบกมือไปมา เพื่อให้อยู่ในความสงบ "ต่อไปนี้ ขอเรียนเชิญผู้ปกครอง ××× ขึ้นมาบนเวที..."
ผู้ปกครองของ ××× พูดจบ ตามด้วยผู้ปกครองอื่นอีกสองท่าน ที่พูดถึงวิธีการและเคล็ดลับประสบการณ์ การอบรมสั่งสอนลูกหลานของตนเอง ไม่มีความแปลกใหม่ นอกจากบอกว่า
"ตัวเองใช้ความเข้มงวดกวดขันแบบไหนแบบไหน ปกครองเด็กๆ ให้เด็กๆ หมั่นทำการบ้าน ช่วยหาผู้สอนมาสอนที่บ้าน....."
ยามที่คุณครูเรียกชื่อผู้ปกครองของหวังจื้อห้าวขึ้นเวที ห้องเรียนก่อนหน้าที่มีแต่เสียงจีจีจาจา เงียบลงในทันใด นี่เป็นเรื่องที่นอกเหนือความคาดหมายมาก เขามอมแมมปานนี้ เด็กของเขาทำไม? ถึงมีผลการเรียนที่ดีเด่นดีเลิศได้
คุณพ่อของหวังจื้อห้าว งอเอวแล้วลุกขึ้นอย่างไม่เป็นธรรมชาติ ด้วยความประหม่า ยามก้าวเดินออกมา เท้าไปเตะเก้าอี้ล้มลง เกิดเสียงใสกังวาน เขารีบพูด "ขออภัย ขออภัย" หลายครั้ง รีบยกเก้าอี้ตั้งตรง จึงเดินก้าวไปแท่นพูดอย่างช้าๆ
"เฮเฮเฮ...." เสียงของผู้ปกครองในห้องขบขันกริยาพ่อของหวังจื้อห้าว เมื่อเขาเดินถึงหน้าห้องเรียน พ่อของหวังจื้อห้าวเเริ่มด้วยเสียงกระแอมแหบแห้ง สายตาไม่กล้ามองไปทางผู้ปกครองคนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ด้านล่าง
คุณครูช่วยพูดคั่นเพื่อให้เขาหายประหม่า "หวังจื้อห้าว เป็นเด็กนักเรียนในชั้นที่มีผลการเรียนที่ดีที่สุด ผลการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของเขา อยู่ที่อันดับหนึ่งมาโดยตลอด เด็กคนนี้ขยันขันแข็งมาก ไม่เคยมาสายกับเพื่อนนักเรียนด้วยกัน ยามเล่นก็เล่นอย่างสนุก สนาน
ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ มาฟังว่า ผู้ปกครองของหวังจื้อห้าว เขามีวิธีอบรมสั่งสอนเด็กของเขาอย่างไรบ้าง? "
"ประ...ประสบการณ์ผมไม่รู้จัก ผมเพียงแต่ชอบนั่งมองดูเด็กทำการบ้านทุกวันหลังเลิกงาน ไม่ว่าจะเหนื่อยเพียงใด ผมก็จะนั่งอยู่ข้างๆ เด็ก แล้วดูเขาทำการบ้าน"
พ่อของจื้อห้าวหยุคชั่วครู่หันไปมองคุณครู คุณครูยิ้มตอบแสดงท่าทางให้เขาพูดต่อ
มีวันหนึ่ง ลูกชายถามผมว่า
"พ่อ พ่อทุกวันนั่งอยู่ข้างผม แล้วดูผมทำการบ้าน การบ้านนี้ท่านดูเข้าใจหรือไม่ ?"
ผมตอบว่า "ผมดูไม่เข้าใจหรอก"
ลูกชายถามอีกว่า "พ่อ ในเมื่อพ่อดูไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ แล้วท่านรู้ได้อย่างไรว่า ผมทำได้หรือไม่ได้?"
ผมตอบว่า "หากลูกของผมทำอย่างรวดเร็ว จับปากกาขึ้นมาแล้วเขียน เขียน เขียนผมก็รู้ว่า คำถามข้อนี้ทำได้ทำได้โดยง่าย หากลูกชายผม ต้องการเดินไปเปิดพัดลม จะไปดื่มน้ำ ผมก็รู้ว่า คำถามข้อนี้ทำยาก"
ห้องเรียนสงบเงียบมาก แม้หากเข็มสักเล่มหนึ่งตกลงบนพื้น คาดว่าคงจะได้ยินเสียง ผู้ปกครองห้องเรียนชั้นอื่นมีคนทยอยกลับบ้าน แต่ก็มีบางคนที่มายืนฟังอยู่นอกหน้าต่าง
"ผมมีอาชีพทำงานก่อสร้าง ปกติแล้วงานยุ่งมาก หากจะพูดถึงการอบรมสั่งสอนแล้ว ก็เพียงแค่ปกติจะพูดคุยกับลูกบ้าง ลูกชายทุกครั้งที่มามองดูผมหาบหิน ขุดดิน ผมก็จะพูดคุยกับลูกในเวลานั้น"
ผมถามว่า "ลูกเอ๋ย ลูกคิดอยากเหมื่อนท่านประธานฯ ที่ได้ไปต่างประเทศหรือไม่? "
ลูกตอบว่า "ผมคิด"
ผมก็จะพูดว่า "ถ้าอย่างนั้น ต้องตั้งใจเรียนหนังสือน่ะ"
เห็นรถราที่วิ่งอยู่บนท้องถนน ที่ขับได้เร็วๆ คันยาวๆ สีดำๆ เป็นเงางาม ผมก็จะถามลูกว่า
"อยากขับรถแบบนี้หรือไม่ ?"
ลูกตอบว่า "อยาก"
ผมจะพูดว่า "ถ้าอย่างนั้นต้องตั้งใจเรียนหนังสือน่ะ"
ผมไม่เคยเรียนหนังสือ ไม่รู้จักหนังสือสักตัว หาเหตุผลลึกซึ้งมาอบรมสั่งสอนเด็กไม่เป็น ได้แต่อาศัยเวลายามทำงาน เห็นอะไรก็คุยกับลูกอย่างนั้น เมื่อเห็นลูกพยักหน้าไม่หยุคผมก็จะดีใจมาก เมื่อผมดีใจก็ชอบที่จะลูบหัวของลูก
ลูกชายชอบนั่งยองๆ อยู่ข้างกายผม ดูผมทำงาน บางครั้ง ยังรินน้ำให้ผม ผมน้อยครั้งที่จะให้เงินลูกใช้จ่าย แทบจะไม่ให้เลย ดังนั้นแล้ว ลูกชายผมเล่นเน็ตไม่เป็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเข้าไปในเน็ต อีกทั้งไม่มั่วซั่วที่จะไปซื้อของให้กิน เวลาโดยส่วนมากแล้วของลูกชาย จะทำงานบ้าน บางครั้ง ยังช่วยผมซักเสื้อผ้า
ผมเป็นคนทำงานก่อสร้าง ทั่วทิศก็คือบ้านผม ทำงานที่ไหนบ้านก็อยู่ที่นั่น พูดถึงประสบการณ์ผมไม่มีจริงๆ ผมเพียงแค่ชอบคลุกคลีกับลูก ชอบดูเขาทำการบ้าน ชอบที่จะลูบหัวเขา ชอบบอกเขาว่า รู้จักขอบคุณโรงเรียน ขอบคุณคุณครูที่อบรมสั่งสอนลูกของผมได้ดีเช่นนี้ เข้าใจเรื่องราวต่างๆ คุณครู ลำบากนานมากแล้ว"
พูดจบเขาได้โค้งคำนับคุณครูหนึ่งครั้ง การโค้งคำนับของเขาครั้งนี้สะเทือนเข้าไปในหัวใจของกลุ่มผู้ปกครองที่อยู่ในห้อง ทำให้พวกเขาคิดได้ว่า
พวกเราที่เป็นผู้ปกครอง ไหนเลยจะเคยคิดโค้งคำนับให้กับคุณครู ไหนเลยจะเคยคิดกล่าวคำ "ขอบคุณ" แก่คุณครู ไหนเลยจะเคยคิดกล่าวคำ "ลำบาก" คุณครูมากแล้ว
ผลการเรียนของลูกไม่ดี มักโทษคุณครูอบรมสั่งสอนไม่ดี ผลการเรียนลูกดี ความดีทั้งหมดมักเข้าหาตนเอง เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ปกครองของหวังจื้อห้าวที่มีผู้ปกครองของตนเอง มืดบอดในตัวหนังสือ พวกเราที่ได้การศึกษามาบ้าง ช่างน่าละอายใจยิ่ง
ยามที่คุณครูยังจมอยู่ในความครุ่นคิด คุณพ่อของหวังจื้อห้าวได้เดินกลับไปถึงที่นั่งของตนแล้ว ภายในห้องเรียน เสียงปรบมือดังระทึกกึกก้อง
บทสรุปของบทความนี้ : นี่เป็นบทความที่ทำให้ผู้ปกครองซาบซึ้งและน่านำไปครุ่นคิด
ภายในบทความ พ่อที่ไม่รู้จักหนังสือสักตัว สภาพแวดล้อมครอบครัวก็ใช่จะดีเลิศ เหตุใดจึงสร้างคนที่มีการศึกษาดี อุปนิสัยก็ดี พินิจพิจารณาในการอ่านบทความนี้แล้วจากผู้ปกครองของเด็กที่หมั่นสังเกตุรายละเอียดต่างๆ
"หากลูกของผมทำได้รวดเร็ว จับปากกาขึ้น เขียนเขียนเขียน ผมก็รู้ว่าคำถามนี้ทำได้ทำได้ง่าย หากลูกของผมจะไปเปิดพัดลม ไปดื่มน้ำ ผมก็รู้ว่า คำถามนี้ทำยาก" เริ่มจากที่เขาเมื่อมีเวลาว่าง ก็จะพูดคุยกับเด็ก สื่อสารกับเด็ก
พวกเรา จากการที่เขาให้ความเคราพนับถือคุณครู นับถือผู้คนรอบข้าง พวกเราก็คงจะหาคำตอบได้ว่า เพราะเหตุใด อีกทั้งได้เรียนรู้ว่า เด็กๆ ต้องการอะไรจากผู้ปกครอง.
เมื่อท่านอ่านบทความข้างบนจบนั้น ท่านเห็นประเด็นอะไรไหมครับ เอาล่ะปาดน้ำตาสักนิดก่อน แล้วมาดูกันว่า ประเด็นสำคัญของเรื่องมีอะไรบ้าง
แล้วปัญหาอื่นล่ะ ที่นอกเกนือจากผู้ปกครอง แล้วปัญหาการศึกษาไทยอยู่ตรงไหน โอยยังมีอีกเยอะครับ เยอะและเห็นตำตาทุกวันเลยล่ะ
ยังจำคำโบราณว่า "นายว่า ขี้ข้าพลอย" ได้ไหม? มันเป็นยังไงหรือ?
ถ้าอ่านข่าวหนังสือพิมพ์ ดูข่าวโทรทัศน์ จะเห็นได้ว่า เมื่อมีเสนาบดีใหม่มารับตำแหน่ง (มันมีมาทุกสมัยแหละครับ) ก็จะมีการมอบนโยบายเรื่องนั้นเรื่องนี้ นโยบายเหล่านี้บางทีมันก็ไม่ได้ใหม่หรอกแค่ประดิษฐ์ถ้อยคำให้ดูหรูกว่าเดิม เหล่าลูกขุนในกรม กอง สำนักทั้งหลายก็จะพยักหน้ารับ "ดีครับท่าน" ที่ฉลาด(หาประโยชน์)หน่อยก็จะออกมาจ้อพร้อมแผนดำเนินงานและงบประมาณพร้อมสรรพ ประเคนให้เสนาบดีลงนาม หวานปากมันพุงปลิ้นกันไปเลยทีเดียว
นายสั่งเป็นโดดรับ งับมาจ้อออกข่าว(เพื่อยึดเก้าอี้ให้มั่นคง) แต่ไม่เคยคิดวางแผนภาพรวมว่าจะมีผลกระทบอย่างไร แก้ตรงไหน มันถึงได้ยุ่งเป็นลิงติดแหจนถูกนายกประยุทธ์ออกมาประกาศกร้าวจะใช้ ม.44 (ก็ย้ายล้างบางนั่นแหละ) ค่อยออกมาทำสีหน้าตกใจไปไม่ถูก อย่างเรื่องปรับหลักสูตรนี่ทำไมถึงคิดกันยากเย็นจัง
ปัญหาเวลาเรียนมากมาย 1,000-1,200 ชั่วโมง นายกบ่นก็มาบอกให้โรงเรียนลดชั่วโมงเรียนลง นายกบ่นอีกเด็กไม่รู้จักสิทธิและหน้าที่ ดันมาสั่งเพิ่มวิชาหน้าที่พลเมือง คือมันจำเป็นจะต้องมีวิชาชื่อนี้ใช่ไหมจึงจะบ่งชี้ว่า เด็กรู้จักสิทธิและหน้าที่ มันถึงต้องแก้หลักสูตรไง แก้ให้มันบูรณาการไปเลยไม่ต้องบอกว่าวิชาอะไรก็ได้น่า
อย่างระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 เอาแค่ เลข-คัด-เลิก ก็พอล่ะ เลขเรียนรู้การบวกลบ คูณหาร พื้นฐาน ซื้อขนมรับเงินทอนถูกต้องก็พอ คัดก็คือการเรียนเขียนอ่านให้คล่อง รู้จักตัวอักษร สระ ประสมคำ อ่าน-เขียนได้ เป็นพอ บางคนร้องลั่นเลย... อ้าวๆ แล้ววิชาวิทยาศาสตร์ หน้าที่พลเมือง ศีลธรรมจะไม่สอนเหรอ
สอนครับ สอนให้อยู่ในการคัด เขียน อ่านนั่นไง เอาเนื้อหามันมาบูรณาการสิครับ ต้นไม้ ใบหญ้า สัตว์ป่า สัตว์เลี้ยง บ้าน ครอบครัว สุขภาพ ใส่ลงไปครับแต่ไม่ต้องบอกชื่อวิชาให้วุ่นวาย ทิ้งเสียเถอะ 8 กลุ่มสาระในวัยนี้
พอขึ้นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 ก็ค่อยเสริมเนื้อหาให้มากขึ้น จะแบ่งกลุ่มสาระก็ว่าไป แต่ไม่ต้องไปจัดให้มันเป็นแปดกลุ่มวิชาก็ได้ ไม่แปลกเลย ตอนมัธยมจะมีกลุ่มสาระอย่างไรก็ว่าไป ขอให้มีเนื้อหาที่ไม่ซ้ำซ้อน เอากันให้ชัดๆ ว่าเรื่องไหนควรสอนตอนไหนแล้วจบตอนไหน ยกตัวอย่างสักนิดจะได้เห็นภาพ อย่างวิชา "พระพุทธศาสนา" นี่ระดับประถมเอาเรื่องประวัติพระพุทธเจ้า คติธรรมพื้นฐาน การประพฤติตนเป็นพุทธมามกะ พอแล้ว ขึ้นมัธยมลืมไปเลยว่า เจ้าชายสิทธัตถะขี่ม้าออกบวชไปกับนายฉันนะ เขาเรียนมาแล้ว ช่วงนี้เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อต้องให้คติธรรมการครองตนในวัยรุ่น พอมัธยมปลายก็ต่อยอดด้วย คติธรรมของการครองเรือน ครองคน ครองงาน ไม่ใช่มาเรียนมัธยมปลายครูก็ยังสอนถึงตอนออกบวชอยู่นั่น
ตอนนี้ผมเข้าข้างครูอยู่นะว่า ถ้านโยบายมันชัดเจน ไม่ปรับเปลี่ยนสั่งการรายวัน หลักสูตรนิ่งมีมาตรฐานกลางแล้วเสริมด้วยหลักสูตรท้องถิ่น การจัดการเรียนการสอนให้มีผลสัมฤทธิ์ที่ดี ครูไทยทำได้ แต่... ท่านต้องลดภาระงานนอกเหนือการสอนออกไปเสียบ้าง เดี๋ยวนี้ลำพังงานที่ต้องรายงานต่อกระทรวงศึกษาธิการก็มากมายแล้ว นี่ยังมีการขอความร่วมมือที่บีบบังคับมาจากกระทรวงอื่นๆ อีก ทั้งสาธารณสุข มหาดไทย ฯลฯ ต่างก็ส่งมาหาเอาผลงานจากครูและนักเรียนกันมากมาย
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)