วิทยากร เชียงกูล
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยด้านสังคมศาสตร์
มหาวิทยาลัยรังสิต
ความอ่อนแอของเด็กและเยาวชนไทยส่วนใหญ่ ไม่ว่าในเรื่องเรียนไม่เก่ง ไม่ชอบอ่าน ไม่ชอบเรียน ไม่มีวินัยในตนเอง ชอบเสพสุข ชอบเกเร ฯลฯ มากกว่า เป็นปัญหาใหญ่ที่สุดของสังคมไทยในปัจจุบัน ปัญหานี้ถูกสร้างโดยผู้ใหญ่ผ่านระบบการศึกษาแบบแพ้คัดออก ที่เน้นการท่องจำไปสอบเพื่อเอาประกาศนียบัตรและผ่านระบบเศรษฐกิจการเมืองแบบทุนนิยมผูกขาด มือใครยาวสาวได้สาวเอา ที่สอนและสร้างพฤติกรรมให้คนแก่งแย่งแข่งขันแบบเห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ระยะสั้นแบบฉาบฉวย ระบบการศึกษาซึ่งรับใช้ระบบเศรษฐกิจการเมือง เป็นทั้งตัวอย่างและเป็นการบีบบังคับให้เด็กและเยาวชนต้องแข่งขันกันแบบตัวใครตัวมัน
ระบบแข่งขันกันสอบเข้ามหาวิทยาลัยปิดของรัฐบาลที่รับได้จำกัด คือรับได้ราว 4 หมื่นคน จากที่มีผู้สมัครสอบ 2 แสนคน เป็นตัวการสำคัญที่ทำลายคุณภาพการเรียนรู้ของนักเรียนไทยในปัจจุบัน เพราะเป็นระบบที่เน้นการสอบแบบปรนัยที่อาศัยการท่องจำและกวดวิชา นักการศึกษา ครู พ่อแม่ และนักเรียนเอง ส่วนใหญ่ยังคิดว่าระบบนี้ยุติธรรมดีแล้ว โดยไม่ได้ตระหนักว่า ระบบเอ็นทรานซ์แบบนี้ส่งเสริมให้นักเรียนทั้งประเทศ
ถึงทบวงมหาวิทยาลัยจะได้ปรับเปลี่ยนวิธีการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยให้นำคะแนนเฉลี่ยสะสมตอนเรียนชั้นมัธยมปลายและคะแนนความสามารถเมื่อเทียบกับกลุ่มในแต่ละโรงเรียนมาคิดด้วย 10% และสอบเอ็นทรานซ์อีก 90% ก็เป็นเพียงการปรับปรุงวิธีการสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยเพียงส่วนย่อย แต่ยังไม่ได้แก้ปัญหาที่แท้จริง คือ
เมื่อรัฐบาลยังไม่ได้แก้ปัญหาโครงสร้างการศึกษาและเศรษฐกิจที่แท้จริง แก้เฉพาะวิธีการคัดเลือกส่วนย่อย ก็ยิ่งทำให้นักเรียนกวดวิชาเพื่อแข่งขันกันตลอด 3 ปี ของการเรียนมัธยมปลาย (เพื่อที่จะทำคะแนนเฉลี่ยสะสม) มากยิ่งขึ้น แทนที่จะกวดวิชาแค่ปีสุดท้ายก็เลยต้องกวดทั้ง 3 ปี สมัยนี้ลูกคนรวย คนชั้นกลางต้องกวดวิชากันตั้งแต่ก่อนเข้าอนุบาลหรืออนุบาลด้วยซ้ำ เพราะการมีโอกาสได้เรียนในโรงเรียนดีๆ ก็คือโอกาสจะสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยปิดของรัฐได้มากขึ้น
เด็กทุกวันนี้ จึงเครียดและไม่สนุกกับการเรียนรู้เท่าที่ควร และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่า ทำไมพวกเขาไม่ค่อยชอบอ่าน ไม่ชอบฟัง ไม่ชอบเรียนรู้ ส่วนหนึ่งก็เพราะครูสอนและวัดผลแบบท่องจำที่น่าเบื่อ และไม่เชื่อมโยงกับชีวิตจริงของพวกเขา นี่ไม่ใช่ปัญหาการศึกษาล้วนๆ แต่เป็นปัญหาแนวทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การเมือง และกรอบคิดค่านิยมของคนส่วนใหญ่ที่ให้ผลตอบแทนและยกย่องคนเรียนจบมหาวิทยาลัยมากเกินไป ในขณะที่ประเทศอื่นคนที่เรียนอาชีวศึกษามีโอกาสที่จะได้ผลตอบแทนและความก้าวหน้าในอาชีพการงานไม่ต่างจากคนจบปริญญา
ค่านิยมคนไทยยุคปัจจุบันยังยกย่องการหาเงิน การเอาชนะแบบแพ้คัดออกมากไป ทำให้เยาวชนไทยส่วนใหญ่อยากได้ปริญญามากกว่าการเรียนรู้ แข่งขันกับเพื่อนมากกว่าจะแข่งขันกับตัวเอง (ทำให้ตัวเองพัฒนาขึ้น) และเพาะนิสัยเห็นแก่ตัวมากกว่าการจะพัฒนาจิตสำนึกความเข้าใจเรื่องคนเราต้องพึ่งพาช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ต้องทำงานเป็นทีม เป็นสังคมส่วนรวมถึงจะพัฒนาได้
เด็กและเยาวชนไทยส่วนน้อยที่เก่งกาจทางวิชาการก็มี แต่พวกเขาจะมีปัญหาความเครียดและการคิดถึงแต่ประโยชน์ตัวเองมากขึ้นกว่าคนรุ่นก่อน แม้ประเทศไทยจะมีการขยายการศึกษาขั้นมหาวิทยาลัย มีคนจบปริญญาที่มีชุดความรู้และทักษะบางอย่างเพิ่มขึ้นมาก แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้รับการศึกษาให้ฉลาดและมีจิตสำนึกเพื่อส่วนรวมเพียงพอที่จะไปแก้ปัญหาระดับประเทศที่นับวันจะยิ่งสะสม ยิ่งยากลำบากขึ้นได้
ขณะนี้กำลังมีข้อเสนอใหม่ให้เปลี่ยนจากระบบสอบเอ็นทรานซ์เป็นระบบกลางรับนักศึกษาโดยตรง (Admission System) โดยเปลี่ยนวิธีการวัดผลจากการสอบเอ็นทรานซ์แบบเก่า เป็นการวัดโดยใช้ผลหลายอย่างเพิ่มเติมขึ้นมา คือการสอบประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติในสาขาวิชาหลัก และการสอบวัดความถนัดในการเรียน (SAT) ซึ่งในแง่ทฤษฎีน่าจะมีประสิทธิภาพในการคัดเลือกคนได้เหมาะสมมากขึ้น แต่ในทางปฏิบัติยังขึ้นอยู่กับการออกข้อสอบว่า ถ้ายังคงเป็นปรนัยแบบท่องจำได้ กวดวิชาได้ ก็ยิ่งทำให้เด็กเครียดมากขึ้นอยู่ดี และถึงอย่างไรก็ไม่เกิดความเป็นธรรมสำหรับเด็กต่างจังหวัดและเด็กยากจน
ปัญหาสำคัญอีกข้อหนึ่ง คือ คนที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยปิดของรัฐไม่ได้ก็ได้ผลกระทบทางลบคือ เป็นปมด้อยคิดว่าตนเองโง่ ไม่มีทางที่จะเรียนได้ คน(ที่ถูกระบบสังคมทำให้)คิดแบบนี้ ถึงจะได้ไปเรียนต่อมหาวิทยาลัยเอกชน หรือมหาวิทยาลัยเปิดก็มักจะไปไม่ได้ไกล จำนวนมากจะออกกลางคันและไม่สนใจจะอ่าน ไม่สนใจจะเรียนรู้ หรืออ่านไม่เป็น เรียนรู้ไม่เป็นไปตลอดชีวิต นี่คือความล้มเหลวและการสูญเสียอย่างมหาศาล
หนทางที่จะแก้ปัญหานี้ได้ ต้องเปลี่ยนแปลงปฎิรูปทั้งครู การเรียนการสอน การวัดผลและวิธีการรับคนเข้ามหาวิทยาลัยใหม่ทั้งระบบ การแก้ปัญหาทางเทคนิคการสอบ เปลี่ยนจากระบบสอบเอ็นทรานซ์มาเป็นระบบแอดมิสชั่นไม่อาจจะแก้ปัญหาได้อย่างแท้จริง
สิ่งที่ควรทำโดยเร่งด่วน
หากนักเรียน นักศึกษาเริ่มฉลาด อ่านหนังสือมากขึ้น คิดและซักถามครู อาจารย์มากขึ้น พวกเขาก็จะผลักดันให้ครู อาจารย์ต้องอ่านหนังสือ ค้นคว้า ทำวิจัยมากยิ่งขึ้น และสอนอะไรที่ฉลาดขึ้นกว่าในปัจจุบัน นี่คือหัวใจสำคัญของการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งผู้บริหารการศึกษา ครู อาจารย์หลายคนยังจับประเด็นไม่ได้ เนื่องจากพวกเขาก็คิดวิเคราะห์ไม่เป็น! (เหมือนกันหรือเปล่า?)
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)