โดย ดร.สุพักตร์ พิบูลย์
อ่านข่าวไทยรัฐ หน้าการศึกษา ฉบับเช้านี้ 15/09/57 ท่านเลขา สพฐ.ให้สัมภาษณ์ เรื่องให้เร่งรัดยกระดับคะแนนโอเน็ต โดยแจ้งว่า ได้หารือกับ สทศ.แล้ว และเห็นควรให้ปรับกระบวนการสอนให้ตรงกับข้อสอบ และจะหารือกับเขตพื้นที่การศึกษาต่อไป (สาระโดยสรุป จับใจความได้เช่นนี้)
ผมเข้าใจความหวังดี ความมุ่งมั่นของท่านเลขาธิการ สพฐ. แต่ผมคิดว่า เรากำลังวนเวียนอยู่ในวัฏจักรเดิมๆ คือ การสอนแบบติวข้อสอบ ในการนี้ ผมขอวิเคราะห์และเสนอแนวคิดเพื่อ สพฐ. ใช้ประกอบการพิจารณาในการพัฒนากระบวนการจัดการศึกษา ดังต่อไปนี้
1. การกำหนดภาพอนาคตของเด็กไทยและจริงจังกับการจัดการเรียนการสอนแบบอิงสมรรถนะ : ควรจริงจังกับการกำหนดมาตรฐานสมรรถนะเด็กไทย ให้เป็นที่เข้าใจและรับทราบตรงกันทั้งประเทศว่า เด็กไทยในอนาคต ควรมีความรู้ คุณลักษณะ หรือทักษะที่สำคัญอะไรบ้าง พร้อมกำหนดบทบาทหน้าที่องครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ในการสวร้างเด็กไทย เพื่ออนาคตประเทศไทยอีก 20 ปีข้างหน้า
2. การจัดการกับปัญหา เด็กจบป.6 อ่านไม่ออก-อ่านไหม่คล่อง มากกว่า 30 % : ขณะนี้ สพฐ. ไม่ได้แก้ที่รากของปัญหา รายการนี้ สพฐ. ควรประกันคุณภาพการอ่านคล่อง-เขียนคล่อง เมื่อจบ ป.3 และประกันคุณภาพการเป็นนักอ่าน เมื่อจบชั้น ป.6
ท่านเลขา สพฐ. กำลังว้าเหว่ยิ่ง : หากสังเกตความพยายามของท่านเลขาในเรื่อง การยกระดับคุณภาพและการปฏิบัติของคนรอบข้าง ผมคิดว่าในขณะนี้ สพฐ.กำลังขาดคนที่มีความคมในเรื่องการจัดการศึกษา เลขาสพฐ. ไม่มีมีแขนซ้ายขวา (รองเลขาฯ หรือผู้อำนวยการสำนัก) ที่คมเท่าที่ควร ขณะนี้ สพฐ. ไปลุยเรื่อง การออกข้อสอบ การวัดผล-ประเมินผล โดยอบรมกันเป็นบ้าเป็นหลัง หมดเงินไปหลายร้อยล้าน (เหมือนกำลังจะทำผลงานเชี่ยวชาญ หรือเชี่ยวชาญพิเศษให้กับใครบางคน) ทั้งๆ ที่รากของปัญหาการศึกษาขั้นพื้นฐาน เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
โดยสรุป ต้องเน้น
(1) เด็กอ่านคล่อง-เขียนคล่องตั้งแต่ ป.3 และเป็นนักอ่าน เมื่อขึ้น ป.4 เป็นต้นไป (อย่างน้อยร้อยละ 50 ของเด็ก ที่จบป.6 ต้องเป็นนักอ่าน...โอเน็ตป.6 จะสูงเอง)... รากของปัญหาขณะนี้ คือ เด็กเจ็บ ป.3 อ่านไม่ออก และอ่านไม่คล่องมากกว่าร้อยละ 50
(2) เด็กร้อยละ 70 เป็นนักอ่าน เมื่อขึ้นชั้น ม.2 และ 80 % เป็นนักอ่านเมื่อขึ้น ม.3 หากเป็นเช่นนี้ นักอ่านเหล่านี้ จะมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์-คิดสังเคราะห์ ตีโจทย์แตก... จะมีผลทำให้โอเน็ต ม.และ และ ม.6 สูงขึ้น อย่างยั่งยืน... ปัญหาขณะนี้ คือ เด็กม.3 ยังอ่านไม่คล่อง ตีความ-ขยายความโจทย์โอเน็ตไม่ได้
3. การพัฒนาระบบดูแลช่วยเหลือเด็กกลุ่มอ่อน กลุ่มด้อยโอกาส : ขณะนี้ ท่านเลขา สพฐ. เน้นเรื่องกระบวนการแนะแนว-ช่วยเหลือเด็ก ผมว่า โอ เค แล้ว แต่อย่าเน้น การพัฒนาระบบแนะแนวแบบโบราณ ที่ไปฝากความหวังไว้กับครูแนะแนว (ซึ่งมีจำนวนน้อย) ต้องเน้น การสร้าง ให้จารย์ประจำชั้นเป็น "อาจารย์ประจำชั้นมืออาชีพ (2 คน ต่อเด็ก 40 คน)".. .ขณะนี้ โรงเรียนในเครือข่ายสวนกุหลาบฯ กำลังทดลองมาตรฐานอาจารย์ประจำชั้น และมาตรฐานการร่วมมือจากผู้ปกครองในแต่ละห้องเรียน น่าจะเป็นแนวทางที่เป็นกรณีศึกษาได้
4. การปรับกระบวนการเรียนการสอบแบบ Content-based learning อย่างในปัจจุบัน ไปเป็น Problem-based learning ที่เน้น
4.1 ให้เด็ก แก้ปัญหา-พัฒนาตนเองในระดับประถมศึกษา
4.2 แก้ปัญหา-พัฒนาครอบครัวในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น และ
4.3 แก้ปัญหา-พัฒนาสังคม ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย
5. การบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจ : ไม่ควรมีโครงการพัฒนาจากส่วนกลางอีกต่อไป ไม่มีโครงการอบรวมครูจากส่วนกลาง สพฐ. ควรประกาศจุดเน้นและนโยบาย แล้วกระจายงบประมาณทั้งหมดไปลงที่สถานศึกษา หรือเขตพื้นที่การศึกษา
5.1 สพฐ.ควรจัดประชุม สัมมนา เพื่อการกำกับติดตามงานจาก ผอ.เขตพื้นที่การศึกษา หรือประธานกรรมการเขตพื้นที่การศึกษา เป็นหลัก (ตลอด 15 ปี แทบจะไม่มีการเชิญประธานกรรมการเขตพื้นที่การศึกษามาประชุมร่วมกับ สพฐ. เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนคุณภาพเลย)
5.2 สพฐ.ต้องจริงจังกับระบบประกันคุณภาพภายใน มีการประเมิน และจัดระดับคุณภาพ เขตพื้นที่การศึกษา เป็นเขตพื้นที่เกรด A-B-C (ตัดสินคุณภาพเขตพื้นที่ โดยพิจารณาจากร้อยละของโรงเรียนในเขตที่ มีพัฒนาการด้านโอเน็ตดีขึ้น หรือ มีคะแนนโอเน็ตเกิน 50 % หรือ ผ่านการรับรองจาก สมศ.)
6. ลดการบริหารจัดการแบบล่ารางวัลหรือการทุ่มเทกับเด็กส่วนน้อย ละทิ้งเด็กส่วนใหญ่ : ลดการล่ารางวัลระดับชาติทั้งหลาย หากมีการแข่งขันระดับชาติ ควรมอบรางวัล OBEC Award ให้กับ ผอ.เขตพื้นที่เกรด A โรงเรียน เกรด A และโรงเรียนที่มีพัฒนาการดีเด่น (พัฒนาการระดับ A)(เพื่อกำลังใจสำหรับโรงเรียนที่ต้องรับผิดชอบเด็กที่พื้นฐานอ่อน)
7. ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม สรา้งความเข้มแข็งแก่ระบบกรรมการสถานศึกษา กรรมการเขตพื้นที่การศึกษา หรือสมัชชาการศึกษาระดับจังหวัด เพื่อให้เป็นองค์กรเข้มแข็ง ที่สามารถเข้ามามีบทบาทร่วมในการพัมนาคุณภาพการศึกษาได้แบบยั่งยืน ในอนาคต
8.การบริหารจัดการในบทบาทเจ้าภาพหลักในการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน : สพฐ. ต้องสนับสนุน พัฒนาคุณภาพการศึกษาในแต่ละเขตพื้นที่การศึกษา ในฐานะองค์กรเข้าภาพหลัก ที่ดูแล-ส่งเสริม-สนับสนุนการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน สำหรับโรงเรียนในทุกสังกัด (ผ่านเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และ มัธยมศึกษาตอนปลาย)
ผมขอนำเสนอแนวคิดเบื้อนต้น แค่นี้ก่อน ผมกำลังจะเรียบเรียง และเตรียม ppt ประกอบการบรรยายสาระเหล่านี้ ภายใต้ชื่อเรื่อง "ทิศทางการบริหารจัดการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในยุคปฏิรูปประเทศไทย" สมาคม ผู้บริหารสถานศึกษาจังหวัดเพชรบุรี เนื่องในโอกาสเกษียณอายุของผู้บริหาร และบุคลากรทางการศึกษาของจังหวัด ในวันที่ 18 กันยายน 2558 ณ โรงเรียนเบญจมเทพอุทิศ เพชรบุรี
ดร.สุพักตร์ พิบูลย์
ที่มา : https://www.facebook.com/notes/10201713713524515/
ถ้าจะปลูกฝังคุณลักษณะ/ค่านิยมอันพึงประสงค์
------------------------------------------------------
------------------------------------------------------
"การท่อง โดยไม่บริหารจัดการอย่างเป็นระบบ ยากอย่างยิ่งที่จะประสบความสำเร็จ"
กลัวจะเป็นนกแก้วนกขุนทองที่ท่องแบบไม่เข้าใจความหมาย ท่องแล้วก็ไม่ทำอะไร เพราะท่องได้แล้วนี่ ศรีธนญชัยมันเยอะนา ประเทศสยามนามประเทืองนี่ ส่วนครูก็คงจะวัดแค่ "ไหนมาท่องให้ฟังซิ ได้กี่ข้อ 5 คะแนนเชียวนะที่ช่วยเธอนี่" ทำตามที่ท่านอาจารย์ ดร.สุพักตร์ บอกข้างบนเถอะครับ จะได้ผลจริงจัง...
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)