หลังจากผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของไทย ตกต่ำลงอย่างเห็นได้ชัด ทั้งจากการวัดเปรียบเทียบกับ ประเทศเพื่อนบ้าน การสอบวัดระดับนานาชาติ และที่เป็นขี้ปากมาตลอดคือ การสอบวัดระดับชาติของไทยเองทั้ง NT, O-Net, GAT-PAT ในการเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย ผลที่ออกมา... ก็สะท้านสะเทือนวงการศึกษา จนเกิดวงกระเพื่อมระลอกน้ำมโหฬาร
ชนิดที่ผู้บริหารการศึกษาในระดับกระทรวง ทบวง กรม ดาหน้าออกมาแจงถึงข้อผิดพลาดและสาเหตุแห่งปัญหา บ้างก็ฟาดงวงฟาดงาลงมาที่วงการครูอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (ชนิดที่ว่า กรูไม่ผิด พวกมึงนะผิดเต็มๆ เลยว้อย) จนมีการตั้งคณะกรรมการสารพัดเพื่อจัดการแก้ปัญหานี้ แน่นอนต้องแก้หลักสูตรการศึกษาใหม่ จัดลำดับความสำคัญแห่งการเรียนรู้ พัฒนาครูให้เข้มข้น จงเตรียมตนให้พร้อมเถิดเพื่อนเอ๋ย...
แต่อย่าลืมเรื่องกระบวนการ วิธีการจัดการการเรียนรู้นะครับ หลักสูตรจะดีเพียงใดก็ตาม ถ้ามันยังเป็นแค่คำพรรณาโวหารไม่บอกวิธีการปฏิบัติ ก็ยากที่จะสำเร็จได้ วิธีการก็ต้องหลากหลายเหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ของสยามประเทศนี้ด้วย ไม่ใช่วิธีการเดียวแล้วจะใช้ได้ผลกับทุกคนทุกพื้นที่ ต้องมีทางหนีทีไล่ การแก้ปัญหาฉับไวอยู่ในกระบวนการเหล่านั้นด้วย
ผมเข้าไปในเว็บไซต์ของสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา ซึ่งกำลังระดมความคิดเห็นจากเพื่อนครู ที่อยู่ในวงการศึกษา จากผู้ปฏิบัติจริงในการจัดการเรียนการสอน (ไม่ได้นึกเอาบนหอคอยงาช้าง) แต่ก็มีผู้ที่เข้าไปมีส่วนร่วมน้อยมาก เมื่อเทียบกับจำนวนบุคลากรครูกว่าสองแสนคนทั่วประเทศ ได้โปรดเถิดครับ ขอให้เพื่อนครูได้เข้าไปแสดงความคิดเห็นต่อกรอบ การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางให้สำเร็จ เพื่อที่พวกเราจะได้มีส่วนร่วมในการร่าง กำหนดทิศทางให้สอดคล้องกับความเป็นจริง สามารถปฏิบัติได้ในทุกพื้นที่ของประเทศนี้ อย่าคิดว่าไม่ใช่หน้าที่ครับ เพราะถ้ามันออกมาไม่ตรงใจ ทำไม่ได้ก็คงต้องโทษพวกเรานี่แหละที่นิ่งดูดายกัน
หลักสูตรแกนกลางฯ กำหนดสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน 5 ประการ คือ
ในเรื่องสมรรถนะสำคัญของผู้เรียนนั้นใน ความเห็นของผมควรรวมข้อ 2 และ 3 เข้าด้วยกัน เพราะคิดเป็นแต่แก้ปัญหาไม่ได้มันไม่เกิดประโยชน์ และตัวชี้วัด วิธีการประเมินควรอยู่ในกรอบเดียวกัน ในข้อ 4 ทักษะชีวิตควรรวมถึงการมีคุณธรรมและจริยธรรมเข้าไปด้วย การกำหนดตัวชี้วัดและวิธีการประเมินผลให้เป็นกรอบมาตรฐานเพื่อให้ทุกคน เข้าใจตรงกัน วัดผลออกมาได้ค่ามาตรฐานเดียวกัน
หลักสูตรแกนกลางฯ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมอย่างมีความสุข ในฐานะเป็นพลเมืองไทยและพลโลก โดยกำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ข้อ คือ
ลักษณะอันพึงประสงค์ 8 ข้อ เยอะเกินไปหรือเปล่า บางข้อมันรวบเข้าหากันได้ เป็นเรื่องเดียวกัน การวัดและประเมินจะชัดเจนกว่าแยกเป็นประเด็นให้สอดคล้องเพราะพริ้งแต่วัดยาก อย่างมีวินัย+ใฝ่เรียนรู้ รวมกันได้ อยู่อย่างพอเพียง+มุ่งมั่นในการทำงาน ก็หลอมรวมกันได้เพราะคำว่า "ทำงาน" ไม่ได้หมายถึงการทำอาชีพที่ต้องได้เงินอย่างเดียว จะรวมหมายถึงการจัดการบ้านเรือนที่พักอาศัยให้น่าอยู่ด้วย สิ่งสำคัญที่ในหลักสูตรคือต้องตีความให้ชัดเจนว่า ลักษณะอย่างนี้อยู่ในข่ายใด จะวัดด้วยเกณฑ์อะไร วิธีการอย่างไร เป็นต้น
หลักสูตร แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตร สถานศึกษา และจัดการเรียนการสอน เพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติ ให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งร่างกาย ความรู้ คุณธรรม และทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตที่มีการเปลี่ยนแปลงและแสวงหาความรู้ เพื่อพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ทั้งนี้ หลักสูตรแกนกลางฯ กำหนดให้ผู้เรียนเรียนรู้ 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้ คือ
ในชั้น ป.1 ป.2 และ ป.3 จำเป็นต้องเรียน 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้หรือไม่
ผมขอยกเครดิตให้กับ ดร.สุพักตร์ พิบูลย์ ที่ท่านได้แสดงความคิดเห็นไว้ดังนี้ เด็กไทย
ผมคิดว่า เราต้องร่วมกันออกแบบหลักสูตร/กระบวนการจัดการเรียนรู้ ที่มุ่งให้ผู้เรียนมีสมรรถนะและทักษะเพิ่มขึ้นอย่างเป็นลำดับชั้น "ถ้าฝึกให้เด็กไม่สู้งานตลอด 12 ปี" น่าจะเป็นอันตรายต่อทรัพยากรบุคคลของประเทศ ในอนาคต อย่างแน่นอน... หลังจากอายุ 17 ปี ทุกอย่าง น่าจะสายเกินแก้
ทุกครั้งที่มีคนบอกว่า เด็กไทยเรียนอ่อนวิชาต่างๆ ในระดับมัธยมศึกษา (เป็นภาวะทุกข์) ...ผมก็เรียนแบบย้ำรากปัญหาเดิมว่า รากของปัญหา (สมุห์ทัย) อยู่ที่เด็กจบป.6 อ่านหนังสือไม่ออก-ไม่คล่องร่วม 30 % ซึ่งการฝึกให้เด็กอ่านออก เขียนได้ ต้องเน้นให้สำเร็จที่ ป.3 จนถึง ป.6 ต้องอ่านคล่อง เขียนคล่อง.... หลังจาก ป.3 แล้ว ฝึกยากมากครับ โอกาสความสำเร็จน้อยมาก... สิงค์โปร์ตัดสินใจมอบให้เอกชน จัดการศึกษาปฐมวัยแบบ 100 % ประถมศึกษา ประมาณร้อยละ 80 อยู่ในมือเอกชน เพราะจัดได้มีคุณภาพมากกว่า (เด็กอ่านออก เขียนได้ เขียนคล่อง และรักการอ่าน) ประเทศเราไม่ให้ความสำคัญกับปฐมวัย และประถมศึกษาเท่าที่ควร ปัญหาจึงเกิดขึ้นในวันนี้ และไม่มีทางแก้ได้ หากไม่จริงจังกับการแก้ปัญหาระดับปฐมวัย และประถมศึกษา เราต้องดูแลการจัดการศึกษาระดับปฐมวัยและประถมศึกษา ให้ได้ผลอย่างยอดเยี่ยม.. แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น
ทิศทางการจัดการศึกษาของประเทศไทย..?
1) ผลการประเมินพบว่า เด็กไทย ไม่มีวินัย... > ตัดสินใจ "ให้ไว้ผมยาวได้"
2) พบว่า เรียนหนักแต่ผลสัมฤทธิ์ต่ำ... > ตัดสินใจ "ให้ลดการบ้านลง"
3) พบว่า เด็ก คิด-วิเคราะห์ ไม่เก่ง คะแนน PISA ต่ำ.. > ตัดสินใจ "ให้ยกเลิกข้อสอบแบบเลือกตอบ"
..... กลัวอย่างยิ่ง คือ เห็นว่า จัดการศึกษาแล้ว ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควร.. > ตัดสินใจ "ให้ยกเลิก การศึกษาในระบบ ให้เหลือแต่ การศึกษาตามอัธยาศัย" ... 555 ...
เห็นด้วยกับท่านอาจารย์ ดร.สุพักตร์ อย่างยิ่งครับ ปัญหาที่เกิดนี้จะแก้ได้ก็ต้องแก้ที่ตัวระบบด้วย ต้องนำการสอบตกแล้วเรียนซ้ำชั้นกลับมา เลิกบัญชาให้นักเรียนผ่านเกณฑ์ทุกคน เพื่อประโยชน์แห่งตำแหน่งหน้าที่การงานของผู้บริหาร ครูสอนแล้วนักเรียนตกซ้ำชั้นต้องพิจารณาผู้บริหารด้วยว่า ไร้ความสามารถ การที่คุณผลักเขากระเด็นออกมาให้ไปเสี่ยงตายเอาข้างหน้า เหมือนกับว่าพวกคุณ(ครูและผู้บริหารโรงเรียน)กำลังส่งกองโจรออกไปทำร้าย สังคม ที่เราต้องแก้ไขด้วยงบประมาณมหาศาลเพียงใด ตอนนี้มันเหมือนการโยนบาปไปให้กันเป็นทอดๆ สุดท้ายก็เป็นปัญหาที่เราต้องแก้เหมือนลิงติดแหอยู่อย่างนี้
นิทานตัวอย่างเรื่องโรงเรียนแห่งหนึ่งมี นักเรียนแค่ 54 คน มีครูชำนาญการพิเศษและผู้อำนวยการระดับ 8 รวม 7 คน ประเมิน สมศ. รอบสามผ่านระดับดีเยี่ยม แต่อนิจจาลูก ป.6 ไปสมัครเข้าเรียน ม.1 กรอกใบสมัครไม่ได้ เขียนชื่อตัวเองและนามสกุลไม่ถูก นี่คือผลิตผลที่เราต้องตระหนักและต้องแก้ไขโดยด่วนครับ อยากให้ไปอ่านเรื่อง "..ตัวการ.." ที่ทำให้การจัดการศึกษาไทยล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ กันอีกสักรอบ สองรอบครับ...
ที่ต้องรีบเร่งแก้ไขอีกข้อคือ การรักการทำงาน กตัญญูรู้คุณ เพราะหลายสิบปีมานี้ผมเห็นว่า เด็กนักเรียนร้อยละ 90 มีนิสัยหยิบโหย่ง ไม่ช่วยเหลือหน้าที่การงานกับทางบ้าน ทำอะไรไม่เป็น แม้แต่การดูแลตนเอง เช่น ซักเสื้อผ้า ทำความสะอาดที่พัก จัดการเรื่องอาหารการกิน ภาพข้างบนนี้เป็นตัวอย่างที่ลูกหลานชาวนา มาเรียนหนังสือในเมือง แล้วลืมสิ้นอาชีพรากเหง้าบรรพบุรุษ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้าวในจานที่รับประทานทุกวันมาจากไหนกัน เราส่งเสริมสิทธิเสรีภาพเป็นเรื่องที่ถูก แต่ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่เรียกร้องแต่สิทธิโดยไม่คำนึงถึงหน้าที่ของตนเองอย่างสิ้นเชิง ต้องสอนครับอย่าทิ้ง ผู้ปกครองก็เช่นเดียวกัน การทำงานเรียนรู้การดำรงชีวิตของบุตรหลานเป็นเรื่องจำเป็น ไม่ใช่สิ่งลำบากลำบนอะไร อย่าให้เหมือนกับนิทานเรื่อง "พ่อแม่รังแกฉัน" เลย...
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)