ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2555 เป็นต้นมา ชีวิตก็เปลี่ยนไปครับ จากคนทำหน้าที่รับราชการครู ตื่นเช้าเพื่อไปลงเวลาทำงานให้ทัน 08.00 น. กลับบ้านตอน 16.30 น. ทุกวันจันทร์ - ศุกร์ แต่บางทีเสาร์ - อาทิตย์เขาก็ไม่ให้หยุดเรียกใช้ได้ตลอด มาเป็นตื่นเช้า 06.30 น. ละเลียดกาแฟ ดูข่าวโทรทัศน์บ้าง ข่าวออนไลน์จากอินเทอร์เน็ตบ้าง ติดตามความเคลื่อนไหวของเพื่อนฝูงทาง Facebook และ Twitter ให้อาหารสุนัข รดน้ำต้นไม้ไปตามประสา ก็เป็นสุขดีครับ
ชีวิตคือการเดินทางไม่เคยหยุดนิ่ง ปกติชีวิตก็ตั้งหลักอยู่ที่ หมู่บ้านสาริน 7 ถนนวาริน-ศรีสะเกษ ตำบลคำน้ำแซบ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี นี่แหละครับ มีบ้างที่ต้องเดินทางไปเยี่ยมลูก และเข้าไปดูแลบ้านอีกหลังที่ หมู่บ้านเพอร์เฟค พาร์ค สุวรรณภูมิ แถวถนนร่มเกล้า มีนบุรี กทม. เพื่อนๆ ในเฟซบุ๊คคงจะได้เห็นสถานะผมอัพเดทไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ผมก็ยังคงทำหน้าที่ การเป็นครู ด้วยการจัดทำเว็บไซต์แห่งนี้เพื่อแสดงความคิดความเห็น ในเรื่องของการปฏิรูปการศึกษา การเรียนการสอนของนักเรียนและครู เป็นวิทยากรรับเชิญไปบรรยายเรื่องต่างๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ได้ทิ้งกันไปไหนครับ หน่วยงานไหนที่ยังเห็นคุณค่าของผมเชิญเข้ามาก็ยินดีนะครับ เท่าที่ผมจะช่วยเหลือพัฒนาวงการนี้ได้ ทั้งในเรื่องการพัฒนาเว็บไซต์ เรื่องหลักสูตรและการสอนคอมพิวเตอร์ การใช้งานโอเพ่นซอร์ส และอื่นๆ
นอกจากนี้ ผมยังให้บริการในการรับจัดทำเว็บไซต์หน่วยงาน โรงเรียน องค์กรต่างๆ รวมทั้งเว็บไซต์ร้านค้า เว็บไซต์ส่วนตัว พร้อมบริการให้เช่าโฮสท์ รับจดโดเมนสกุลต่างๆ ดำเนินการติดตั้งระบบเว็บไซต์ เทมเพลต จัดทำเนื้อหาเบื้องต้นให้ แล้วค่อยไปดำเนินการต่อกันเอง แล้วจ่ายเฉพาะค่าเช่าโฮสท์/โดเมนเป็นรายปี หรือจะให้ดูแลตลอดไปก็ตกลงกันได้ครับ
ดูรายละเอียดที่นี่นะครับ Our Services : Web Design, Hosting & Domain Register.
ผมได้รับอีเมล์มาฉบับหนึ่ง ข้อความมีดังนี้
"... จริงจริงแล้ว ผมอยากให้ท่านเขียนประวัติของท่านแบบเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นกำลังใจให้กับผม และอาชีพครูหรืออาชีพอื่นๆ ผมว่ามีคนอีกหลายคนที่ชอบแบบผม กรุณาเล่าลงในเว็บของท่าน เพื่อเป็นที่ประจักษ์ และเป็นกำลังใจให้ครูไทยอีกหลายแสนคน อย่าอ้างเหตุผลใดๆ มาปฏิเสธคำขอ .... กรุณาเถอะครับ..
ครั้นผมจะปฏิเสธไม่บอกกล่าว ก็ดูจะทำร้ายจิตใจกันเกินไป เอาเป็นว่า จะเล่าในส่วนที่สามารถเล่าได้นะครับ เพราะบางท่านอาจจะหมั่นไส้เอาได้ เพราะผมก็เพียงครูน้อยธรรมดา ลูกชาวนาจากภาคอีสานคนหนึ่งเท่านั้นเอง เพียงแต่ผมต่างจากคนอื่น ในเรื่องใฝ่รู้ สู้ทน และพูดจาโผงผางแต่ปากกับใจตรงกันนะครับ เลยไม่ค่อยจะก้าวหน้ากับเขาเท่าไหร่? เพราะไม่ค่อยก้มมือกุม... (?) เอาใจใครเขาไม่เป็นแต่ก็สุขใจเพราะมีเพื่อนเยอะนี่แหละครับ
ชีวิตผมกำเนิดในครอบครัวชาวนา หมู่บ้านเล็กๆ อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี เติบใหญ่มาท่ามกลางการดูแลของปู่กับย่า เพราะเหตุที่พ่อและแม่ไปแสวงโชคในเมืองหลวงเหมือนกับฅนอีสานคนอื่นๆ เรียนหนังสือชั้นประถมปีที่ 1-3 ในโรงเรียนประชาบาลของหมู่บ้าน และปู่ส่งให้มาเรียนหนังสือในโรงเรียนเทศบาลวารินวิชาชาติ อำเภอวารินชำราบ (คล้ายกับฝั่งธนบุรีของกรุงเทพฯ) จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 7 และที่นี่เองที่ผมถูกเคี่ยวกรำในเรื่องของการท่องศัพท์ภาษาไทย-อังกฤษ บทอาขยานและแม่สูตรคูณ (ครูสมัยนั้นท่านเคี่ยวมากครับ ใครท่องไม่ได้ไม่ตีแต่ให้เราใช้มะเหงกเขกเสาหรือขอบหน้าต่าง แถมตอนเย็นต้องทำความสะอาดห้อง ถูพื้นกระดานไม้มะค่าสมัยโน้น เงาวับด้วยการลงเทียน (ขี้ผึ้งต้มผสมน้ำมันก๊าด) ขัดด้วยใยมะพร้าวซึ่งใช้มะพร้าวแห้งผ่าครึ่ง คุกเข่าขัดถูไป เพื่อความสนุกก็นั่งหรือยืนบนกะลามะพร้าวให้เพื่อนลาก สมัยนี้คงหายากแล้วล่ะอาคารเรียนไม้)
ผมฝันว่า จะได้เข้าเรียนในโรงเรียนประจำจังหวัด (ที่เป็นครูอยู่ตอนนี้) แต่พลาดในการสมัคร เพราะหลักฐานทางทะเบียนราษฎร์ไม่สมบูรณ์ (พ่อเปลี่ยนชื่อแต่ติดต่อขอใบเปลี่ยนมาแจ้งไม่ทัน กระมังผมชักเลือนๆ แล้ว) เลยต้องสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนราษฎร์ ชื่อ สงเคราะห์ศึกษา (ขณะนี้โรงเรียนได้เลิกกิจการไปแล้ว) แต่ผมไม่เคยได้เสียค่าเทอม เพราะสอบเอาทุนมาได้ทุกปี ที่โรงเรียนนี้ผมถูกเคี่ยวเรื่อง ภาษาอังกฤษอีก จาก คุณครูสุภาพ ยกมาพันธ์ จนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยปู่กับย่าอยากให้ผมรับราชการ เพื่อหนีจากชีวิตชาวนา จึงให้เรียนวิทยาลัยครูอุบลราชธานี ใกล้บ้าน (ทั้งๆ ที่ผมอยากเรียน ม.ปลาย เพื่อสอบเข้าเรียนวิศวกรรมศาสตร์ ที่ ม.ขอนแก่น แต่ก็ต้องตามใจผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ) จนจบระดับ ป.กศ. สูง และออกไปทำงานครั้งแรก ตำแหน่งครู 2 เมื่อเดือนพฤษภาคม 2519 ที่โรงเรียนพนาศึกษา อำเภอพนา จังหวัดอำนาจเจริญ (ในปัจจุบัน)
ที่นี่เอง ที่ผมถูกสอนให้เรียนรู้การงาน หลากหลายหน้าที่ จากอดีตคุณครูใหญ่ (พ่อ) สุระ สาระราษฎร์ ตั้งแต่งานธุรการ การเงิน งานวิชาการ งานการสอน หลากหลายวิชา (ทั้งๆ ที่ผมเป็นครูวิทยาศาสตร์) เพราะสมัยนั้นครูมีน้อยคน การประชุมกันก็ไม่มีรูปแบบ นั่งตามระเบียงช่วงพักกลางวันก็ประชุมกันได้แล้ว ทำงานเหนื่อยหนักแต่ก็สนุก เพราะทำงานแบบพ่อ พี่น้อง ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และที่นี่เองที่ผมได้ลาไปศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) วิทยาเขตประสานมิตร (2522)
ไปเรียนเอกเทคโนโลยีทางการศึกษา เป็นลูกศิษย์ อาจารย์เปรื่อง กุมุท อาจารย์ชม ภูมิภาค อาจารย์ไพโรจน์ เบาใจ อาจารย์อารี สุทธิพันธุ์ และอีกหลายท่าน เป็นการเรียนที่สนุกสนาน (เพราะเข้าทางในความชอบส่วนตัว) และมีรายได้ระหว่างเรียนจริงๆ ตอนที่เรียนจบผมมีเงินฝากนับแสนบาท จากการทำงานขณะที่เรียน ด้วยการรับจ้างวาดการ์ตูนในหนังสือนิทานสำหรับเด็กปฐมวัย (พี่ๆ ผู้บริหารโรงเรียนที่ได้รับทุนประเภท ก. ไปเรียนที่นี่ เป็นผู้ว่าจ้าง)
ราคาเริ่มจากรับงานต้นเทอมเล่มละ 500 บาท ปลายเทอมใกล้วันส่งปาเข้าไป 2500-3500 บาท แล้วแต่จำนวนหน้า พร้อมการเลี้ยงดูปูเสื่อ เพราะต่างก็ไฟลนก้นกันถ้วนหน้า ไม่ได้หลับได้นอนนานนับเดือน เพื่อเร่งวาดภาพ ระบายสี เข้าเล่ม เคลือบปก
ผมได้รับประสบการณ์จากการฝึกงานด้านโทรทัศน์ ที่ สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสี ช่อง 3 และประสบการณ์ในการเป็นนักข่าว-ช่างภาพการเมือง ของหนังสือพิมพ์มติชน และประทับใจการทำข่าวนายกรัฐมนตรี พลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ลาออกกลางสภา ด้วยมุมมองในการถ่ายภาพข่าวที่แตกต่างจากหนังสือพิมพ์อื่นๆ (ปีนขึ้นไปถ่ายภาพบนต้นไม้) และการทำแล็ปล้างภาพ-เขียนข่าวด้วยตนเองจาก พี่ชาญ ผดุงคำ ทำให้ผมมีความรู้และได้สัมผัสกับอาชีพอีกอาชีพหนึ่งที่แตกต่างออกไป
เมื่อเรียนจบก็กลับไปทำงานที่เดิม แต่เปลี่ยนหน้าที่ใหม่จากการเป็นครูผู้สอน ไปเป็นครูโสตทัศนศึกษา ได้เปลี่ยนแปลงแนวคิดของเพื่อนร่วมงาน และกระบวนทัศน์ในการทำงาน ด้วยการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการเรียนการสอนมากขึ้น ยุคสมัยนั้น ได้ผลิตสื่อที่เป็นไสลด์ และแผ่นโปร่งใสต่างๆ มากมาย จนเป็นที่รู้จักแพร่หลาย แต่ยังไม่ได้ลุยเรื่องคอมพิวเตอร์เลย ในตอนนั้น คอมพิวเตอร์ยังเป็นเรื่องไกลตัวพอสมควร ในช่วงนี้จะเป็นการสนุกกับการถ่ายภาพ เรื่องของอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องเสียง และเครื่องฉายมากกว่า
ผมเริ่มชีวิตครอบครัวที่นี่ เมื่อปี 2527 และมีลูกสาวคนโตที่ทำให้ผมต้องคิดถึงโอกาสทางการศึกษาของลูก จึงให้ภรรยาย้ายเข้ารับราชการในเมืองก่อน ส่วนผมยังย้ายไม่ได้เพราะไม่มีตำแหน่งว่าง (ตอนนั้นผมมีตำแหน่ง ส. ครูสนับสนุนการสอน ที่ไม่ใช่ครูปฏิบัติการสอนโดยตรง) แต่ด้วยที่มีเพื่อนและพี่ที่เคารพนับถือมากมายหลายคนในโรงเรียนใหญ่ เลยได้จังหวะที่พี่ชายท่านหนึ่ง เลื่อนตำแหน่งไปเป็นผู้ช่วยผู้บริหาร มีตำแหน่งสนับสนุนการสอนว่างลงที่ โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช (นายคำพันธ์ คงนิล) ขณะนั้น จึงให้ผมทำการย้ายสับเปลี่ยนตำแหน่งว่างนั้น และได้มาปฏิบัติหน้าที่ภายใน 7 วัน เมื่อคำสั่งกรมสามัญออกมาในเดือนสิงหาคม 2529 ชีวิตครูช่วงแรกในชีวิตของผม 10 ปีในโรงเรียนขนาดเล็กก็แปรผัน ผ่านมายังโรงเรียนขนาดใหญ่จนถึงปัจจุบัน
ในเรื่องโอกาสทางการศึกษา ของลูกนั้น ผมอยากให้ลูกได้มีโอกาสที่ดีในการศึกษาเล่าเรียน มีเพื่อนที่ดี และอยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ จริงๆ แล้วแม้ผมจะมาอยู่ใกล้บ้านพ่อตาแม่ยาย แต่ผมก็เลี้ยงลูกเอง เพราะไม่อยากให้ลูกถูกยึด (คงเคยมีประสบการณ์กันมาบ้างนะครับ ที่ปู่ย่า ตายาย หวงหลานจนพ่อกับแม่มันดุด่าว่ากล่าว สัมผัสไม่ได้ เลยมีที่พึ่ง และไม่ฟังคำสอนของพ่อแม่ไปเลย) ให้ลูกได้คิดและตัดสินใจ ช่วยเหลือตนเอง ตั้งแต่การเดินทางไปโรงเรียน ดูแลเสื้อผ้า อาหารการกิน พี่ช่วยดูแลน้อง ด้วยความเชื่อมั่นต่อลูก ผมเพียงแค่ดูแลห่างๆ
ลูกทั้งสองคนของ ผมเติบใหญ่ และประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง คนพี่จบระดับชั้นมัธยมปลาย จากโรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ส่วนคนน้องจบ ม. 3 ที่ เบ็ญจะมะมหาราช ก็ขอไปเรียนที่เตรียมอุดมศึกษา ปีเดียวกับที่พี่สาวเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากประสบการณ์ในการเลี้ยงดูและเอาใจใส่ ด้วยการเป็นเพื่อนที่ให้คำปรึกษากับลูกได้ทุกเรื่อง ให้โอกาสลูกในการแสดงความคิดเห็นและตัดสินใจ โดยพ่อแม่มีหน้าที่เพียงการชี้แนะแนวทาง ทั้งทางด้านการเรียน การคบเพื่อนและการเลือกทางเดินสู่อาชีพที่เขาปรารถนา
วันนี้ ลูกสาวคนโตจบ ปริญญาโท คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตามการเลือกของเขาเอง ตั้งแต่เมื่อเรียนชั้น ม. 4 ที่โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช ตามที่เขาตั้งใจไว้ และทำงานเป็นสถาปนิกและผู้จัดการบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ส่วนลูกชายนั้น หลังจบ ม.ปลาย จากโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก็เลือกเรียนต่อในคณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (IR) จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ปัจจุบัน ทำงานเป็นสจ๊วต ที่สายการบินเอมิเรตส์ และพำนักที่นครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (อ่านบล็อกของเขาที่เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้ในการทำงานสายการบินที่ P'Por Cabin Crew)
การมีลูกและเลี้ยงลูกนี่ไม่ต่างอะไรกับการซื้อล็อตเตอรี่ ใครโชคดีก็ถูกรางวัล อาจจะที่ 1 ที่ 2 หรือเลขท้าย หรืออาจจะถูกกินไม่แบ่งของรัฐบาลก็ได้ สำหรับผมในวันนี้ถูกรางวัลใหญ่แล้วครับ แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะที่ 1 หรือ 2 หมดห่วงเพราะส่งลูกถึงฝั่งฝัน สบายใจแล้วครับ
ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)