foto1
ความงดงามการศึกษาไทย
foto1
เพื่อ?
foto1
ไม่เข้าใจ?
foto1
วิทยากรที่กระทรวงศึกษาธิการ สปป.ลาว
foto1
ท่องทะเลทรายที่ดูไบ UAE


Friendly Links

เรียนรู้ภาษา html
isangate banner
easyhome banner
ipst banner
sakdibhornssup foundation
13 Thai free fonts
speedtest
e mil

Facebook Likebox

No. of Page View

education free header

key-comนั่นคือคำถามว่า คุณต้องการเลือกอะไร? คงจะไม่สามารถเลือกได้สองข้อพร้อมกันแน่ๆ ในสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจ และสังคมประเทศเราที่เป็นอยู่ขณะนี้ การเรียนฟรี คือคำตอบที่จะช่วยให้คะแนนในการเลือกตั้งสูงขึ้น หรือคะแนนนิยมดีขึ้น และเป็นฐานของระบบประชานิยมแบบไทยๆ อีกทางหนึ่ง รองลงมาจากการรักษาพยาบาลฟรี กองทุนหมู่บ้าน... และอื่นๆ

เรียนดีมีคุณภาพ นั้นอาจจะไม่เรียกคะแนนินยม เพราะต้องลงทุนสูงในทุกภาคส่วน ผู้เรียนย่อมต้องจ่ายค่าบริการเพิ่มเติมอีก นอกจากที่รัฐสนับสนุนมาบางส่วน ซึ่งในความเป็นจริงก็ย่อมจะต้องเป็นเช่นนั้น ส่งเสริม ให้โอกาสกับผู้ที่จะสามารถก้าวเข้าสู่เวทีแข่งขันนั้น เพื่อให้เกิดผลอย่างรวดเร็ว และแน่นอนควรจะต้องจ่ายส่วนต่างเมื่อคุณต้องการสิ่งที่ดีกว่า

ประเทศเราประกาศว่า ปฏิรูปการศึกษามาหลายปี แต่ผลลัพธ์ที่ได้ในช่วง 2-3 ปี มานี้ไม่ได้มีผลดังที่คาดการณ์ไว้ บางส่วนย่ำเท้าอยู่กับที่ มีบ้างที่ลื่นไถลถอยหลังไปหลายขุม (น่าจะส่วนใหญ่ด้วยนะ) มีลูกหลงเดินไปข้างหน้าแทบจะนับจำนวนได้ คงมีคำตอบจากการติดตามผลที่ทาง สมส. ประเมินสถานศึกษาได้ชัดเจนอยู่แล้ว

เราล้าหลังประเทศอื่นๆ ไปมาก เทียบกับในโซนอาเซียนด้วยกัน เราก็ยังห่างไกลเขาอยู่ เราอาจจะเคยเดินหน้า หรือเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับหลายๆ ประเทศ แต่ในวันนี้เราเหนื่อยล้ากับการแย่งชิงเก้าอี้ จนลืมเด็กและเยาวชนที่เฝ้ารอครู เราปล่อยให้พวกเขาเผชิญกับชะตากรรมที่โหดร้าย และเจ็บปวด กลายเป็นหนูทดลองยาซ้ำแล้วซ้ำเล่า การเปลี่ยนแปลงของสังคมรวดเร็วเกินไป มากเกินกว่าที่เราจะมามั่วย่ำเท้าอยู่กับที่ หรือหันรีหันขวางหาทางออกใหม่ เด็กและเยาวชนกลายเป็นเหยื่อถูกทอดทิ้ง อยู่ตามลำพัง มียักษ์หน้าเหลี่ยมเป็นพี่เลี้ยง พวกเขาล้วนเชื่อฟังยักษ์หน้าเหลี่ยมยิ่งกว่าพ่อ-แม่ ครู-อาจารย์ ถ้าพวกเราไม่รีบแก้ไข ยักษ์หน้าเหลี่ยมก็จะพรากลูกหลานเยาวชนของเราไปตลอดกาล

child country

มีบางคนกำลังตีความหมายของ "ยักษ์หน้าเหลี่ยม" ก็ขอบอกตรงนี้เลย โทรทัศน์ อินเทอร์เน็ต สื่อผ่านหน้าจอทั้งหลายล้วนอยู่ในความหมายของยักษ์หน้าเหลี่ยม เรากำลังปล่อยให้ลูกหลานเชื่อในสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอ เสพความสุขบนจินตนาการ หลีกหนีจากโลกความเป็นจริงกันมากขึ้น ไม่มีใครคอยชี้แนะ เลือกสรรสื่อเหล่านั้น ปล่อยปละละเลย ให้ขบวนการทางธุรกิจนำเสนอตามที่เขาต้องการ เพียงเพื่ออยากให้เกิดการลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจ ลูกหลานของเรากลายเป็นทาสที่จงรักภักดีต่อแบรนด์ จึงได้เห็นเยาวชนที่คลั่งไคล้ K-pop, J-pop โลกออนไลน์อย่าง MSN, Hi-5, Facebook etc ต่างก็จินตนาการถึงสิ่งที่ตัวเองไม่มี เมื่อหลอกตัวเองได้ แล้วทำไมจะหลอกคนอื่นไม่ได้เล่า?

เรากำลังจะก้าว หรือ กำลังจะถอย?

คราวนี้พูดถึงปัญหาที่กำลังประสบและปวดหมองชนิด อิกคิวซัง ไม่สามารถจะคิดทางแก้ได้เสียแล้ว (เรียกว่า จะหมดปัญญาเอาดื้อๆ) ก็เลยจำเป็นต้องปุจฉา ณ ที่นี้ แต่จะมีใคร วิสัชนา ให้ผมบ้างนี้ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน...

child comp2โรงเรียนมัธยมศึกษาใหญ่ๆ หลายโรง กำลังมึนกับการหาทางออกเรื่องงบประมาณ การดำเนินการจัดการเรียนการสอน และพัฒนาระบบไอทีในโรงเรียน เพราะนโยบายการห้ามรับการสนับสนุนเงิน จากผู้ปกครองนักเรียน โรงเรียนเหล่านี้ล้วนมีภาระค่าใช้จ่ายจำนวนมาก กับการจัดการจัดการเรียนการ สอนคอมพิวเตอร์ หลายโรงเรียนใช้วิธีการเช้าซื้อ (ผ่อนชำระกันเป็นรายปีไป) หลายโรงเรียนใช้วิธีการเช่าใช้ (ครบสัญญาผู้ให้เช่ายกกลับ) โรงเรียนเหล่านี้ทั้งหมด มีเครื่องคอมพิวเตอร์ระดับ 200-300 เครื่องสำหรับให้บริการกับนักเรียน จัดการเรียนการสอนทั้งวิชาพื้นฐานและวิชาเพิ่มเติม อำนวยความสะดวกในการสืบค้นข้อมูล

นอกจากตัวเครื่องแล้ว ยังมีระบบเครือข่ายภายในซึ่งมีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตภายนอก ที่มีการเช่าใช้จากผู้ให้บริการเอกชนเพิ่มเติม เพราะสายสัญญาณที่ได้รับจากเครือข่ายกระทรวงศึกษานั้นมีจำกัด และบางวันก็ตาบอดออกไปไหนไม่ได้ (DNS Stop service) เสถียรภาพการเชื่อมต่อนั้นอยู่ในระดับต่ำมาก และไม่อาจเชื่อมั่นได้ว่าจะดีขึ้นในวันใด (ทำตัวเป็นผู้ให้บริการ (ISP) แต่ไม่มีการมอนิเตอร์ (เฝ้าระวัง) และแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที แถมมีหยุดเสาร์-อาทิตย์อีกด้วย ทำงานตามสะดวกในเวลาราชการเท่านั้น) ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็ตกปีละเป็นแสนหรือหลายแสนอยู่เหมือนกัน

ปัญหาของเราคือ กลุ่มที่ได้มีพันธะสัญญาดำเนินการมาก่อนหน้า และยังไม่สิ้นสุดสัญญา จะหาเงินที่ไหนมาจ่าย จะหยุดยกเลิกสัญญาก็ต้องจ่ายค่าปรับ (แถมยังเสียเงินแต่ไม่ได้ใช้) คาราคาซัง ฝ่ายบริหารในโรงเรียนก็ใบ้กินเหมือนกัน สุดท้ายมาลงที่เณรน้อยครูคอมพิวเตอร์ จะเอาไงดี?

ถ้ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ นี่ง่ายมากเลย เราแค่ทำห้องเปล่าๆ มีโต๊ะวางคอมพิวเตอร์และเก้าอี้ ติดตั้ง Access point ห้องละตัว นักเรียนคนใดจะเรียนคอมพิวเตอร์ก็หาโน้ตบุ๊คมาเองจากบ้าน วิธีนี้ง่ายมากเลย ถ้าไม่มีก็ไม่บังคับ นั่งดูเพื่อนที่เขามีไป ครูผู้สอนก็หาโปสเตอร์รูปอุปกรณ์คอมพิวเตอร์มาปิดที่ฝาห้อง (ทำยังกะโปสเตอร์สัตว์ป่าสงวนของไทยที่สูญพันธุ์ไปแล้ว) อธิบายชี้ไปบนภาพ แล้วก็สร้างจินตนาการให้กับผู้เรียนไป โอย... สุดยอดจริงๆ ประเทศไทย

local child 01

แล้วเราก็หมดปัญหาเด็กเล่นเกม เด็กติดฮิห้า เด็กติดแช็ท และเด็กติดการออนไลน์... ทั้งหลายทั้งปวง เณรน้อยคิดได้แค่นี้ล่ะครับ โรงเรียนทุกโรงในประเทศนี้ก็จะมีความเท่าเทียมกันทุกประการ...

นโยบายความเป็นส่วนตัว Our Policy

ยินดีต้อนรับสู่เว็บไซต์ของเรา ที่นี่ใช้คุกกี้ (Cookies) เก็บข้อมูล เพื่อให้ท่านได้รับประสบการณ์การใช้งานที่ดียิ่งขึ้น อ่านนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (Privacy Policy) และนโยบายคุกกี้ (Cookie Policy)

Our Policy