Prepare for Take-off (2)
แล้วก็ถึงเวลาโบยบินจากบ้านเกิด
และสำนักงานสายการบินที่กรุงเทพฯ ยังจะเป็นผู้ออกตั๋วเครื่องบิน สำหรับเดินทางไปประจำที่ Base ให้ด้วยครับ สำหรับตั๋วเครื่องบินก็ให้ อัตรานำหนักกระเป๋าพิเศษ มากถึง 50 กิโลกรัม เรียกว่า ย้ายบ้านกันเลยทีเดียว
สำหรับการจัดกระเป๋า ของที่ต้องเตรียมไปก็มี กางเกงสีดำ และรองเท้าพื้นเรียบสีดำ สำหรับไว้ใส่ในระหว่างการฝึกที่โรงเรียนการบินในช่วงแรก ก่อนที่จะได้รับเครื่องแบบพนักงาน แล้วก็ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวของพวกเราเองนี่หล่ะครับ (พวกแชมพู ครีมบำรุงรักษาหน้า สบู่ ยาสีฟันยี่ห้อที่เราใช้ประจำ แป้ง ฯลฯ)
ส่วนเรื่อง อาหารการกินต่างๆ ก็แล้วแต่จะอยากเอาอะไรไป เพราะจริงๆ ที่นั่นก็จะมีร้านขายสินค้า และพวกซุปเปอร์มาเก็ต ที่เราจะพอหาสินค้าแบบไทยๆ ได้บ้างครับ (จะเอามาม่าไปเผื่อด้วยก็ได้) ที่สำคัญคือ ควรมี Pocket money ติดตัวไปด้วยเล็กน้อยนะครับ ถึงแม้ว่า ไปถึงวันแรกทางบริษัทจะสำรองเงินจ่ายให้ก่อนก็ตามครับ
พอถึงวันเดินทางก็ตามปกติครับ ไปเช็คอินที่เคานท์เตอร์ของสายการบินเรา แล้วก็ต้องมีการทำเอกสารเกี่ยวกับการไปทำงานต่างประเทศที่ เคานท์เตอร์กระทรวงแรงงาน ที่สนามบินสุวรรณภูมิก่อนนิดหน่อยครับ จากนั้นก็ออกเดินทางกันครับ (เดินทางตีหนึ่งครึ่ง พ่อ-แม่-พี่สาว ไปส่งด้วยความเป็นห่วง ส่วนเรานั้นชิวๆ ว่าจะไปเจออะไรข้างหน้าหนอ)
ในระหว่างเที่ยวบินแรก ที่เราเดินทางกับสายการบิน เรายังได้รับมอบหมายให้ ทำการบ้าน ด้วย นั้นคือ สังเกตการณ์การทำงานของลูกเรือบนไฟลท์ ความสะดวกสบาย และการบริการต่างๆ ในเคบิน ทั้งที่นั่งและระบบความบันเทิงในเครื่องบิน และจดบันทึกลงในหนังสือ เพื่อส่งให้ครูฝึกในวันแรกของการเริ่มต้นเทรนนิ่งด้วยครับ
ภาพแรกที่เห็นเมื่อเครื่องลงสัมผัสสนามบินดูไบ
เมื่อไปถึงที่สนามบิน จะมีเจ้าหน้าที่จากบริษัทมาคอยรับเรา ที่บริเวณโถงผู้โดยสารขาเข้า เพื่อนำเราไปสแกนม่านตา เก็บข้อมูลวีซ่าและอื่นๆ อีกมากมาย สุดท้ายได้รับเอกสารตารางชี้แจงวัน และเวลาในการฝึก และรายชื่อเพื่อนลูกเรือใหม่ที่จะร่วมฝึก ตลอดทั้งหกสัปดาห์ข้างหน้าครับ
จากนั้น จะมีรถมาส่งเราที่ที่พักของเรา และนี่เป็นครั้งแรกจริงๆ ที่จะได้เห็นเมืองที่เราต้องเรียกว่าบ้านครับ สำหรับความเป็นอยู่ที่นี่ เราก็จะต้องแชร์อพาร์ทเมนท์ของเรา กับเพื่อนลูกเรือจากชาติต่างๆ ซึ่งแล้วแต่ว่า จะได้อยู่ส่วนไหน โชคดีที่ได้อพาร์ทเมนต์ใจกลางเมือง ติดรถไฟฟ้า เลยเดินทางสะดวกหน่อยครับ แต่ช่วงนั้นเห็นว่าลูกเรือใหม่ๆ ให้ย้ายไปอยู่ตึกใหม่ แต่ว่าไกลมาก จนเค้าบอกว่าเหมือนอยู่กลางทะเลทรายเลยหล่ะครับ
ได้ที่พักแชร์กับลูกเรือชาวอินเดีย (รุ่นพี่ก่อนปีหนึ่ง) มีห้องนอนแยกกันคนละห้องพร้อมห้องน้ำในตัว แชร์ห้องครัวกับห้องรับแขก ซึ่งมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ เคาท์เตอร์ครัวพร้อมถ้วยจาน ช้อนซ่อม ห้องรับแขกมีโซฟา ชั้นวางหนังสือ แต่ไม่มีโทรทัศน์ (เขาต้องการให้เราพักผ่อนจริงๆ) มีอินเทอร์เน็ตให้แต่ไม่ฟรีต้องจ่ายรายเดือน ในช่วงวันสองวันแรก ก็เป็นเวลาว่างครับ ก็ไปหาซื้อของ สำรวจรอบๆ ที่พักของเราว่า มีอะไรอยู่ตรงไหนบ้าง โชคดีที่ได้พี่ลูกเรือคนไทยที่อยู่ตึกเดียวกันคอยช่วยเหลือ แล้วก็พาไปซื้อของใช้ต่างๆ มา ไม่งั้นหลงทางแย่เลยครับ
วันแรก ของการเริ่มต้นชีวิตลูกเรือฝึกหัด ก็คือการไปที่สำนักงานใหญ่ คล้ายว่าเป็นการไปปฐมนิเทศครับ แล้วก็ยื่นเอกสาร ผลการตรวจร่างกาย ฟิลม์เอกซเรย์ รวมถึงการเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการด้วยครับ ไปทำบัตรประจำตัวพนักงานให้เรียบร้อยในวันแรกเลยครับ
หลังจากนั้นก็ เริ่มต้นการฝึกด้านต่างๆ ทั้งความปลอดภัย อุปกรณ์ฉุกเฉิน ปฐมพยาบาล และการบริการในเครื่องบินครับ ตามที่เคยเสนอมาแล้ว
โรงเรียนการบินของสายการบินเอมิเรตส์ ฝึกทั้งลูกเรือทุกระดับ และนักบิน