Love of the fairy.
ความรักของนางฟ้า
ชีวิตสาวแอร์หมวกแดงในดินแดนทะเลทราย
ไปบินไฟลท์กรุงเทพมาค่ะ แต่กว่าจะถึงได้ก็มีเหตุการณ์ระทึกด้วยค่ะ ลูกเรือผู้ชายอาราบิกเขาก็ช่วยแหม่มยืนต้อนรับขับสู้ ขอดูบัตรโดยสารอยู่ที่ หน้าประตูซ้ายแรก L1 ค่ะ แล้วก็มีผู้โดยสารชายสองคน พี่เสื้อแดงและพี่เสื้อขาวชาวอาราบิก ทั้งสองคนเดินเข้าเครื่องมา แต่ท่านไม่ยอมให้ตรวจบัตรโดยสารค่ะ ลูกเรือก็ขอดูบัตรโดยสารตามหน้าที่ แต่พี่เสื้อแดงกลับบอกว่า จะดูไปทำไม มีหรือไม่มีบัตรโดยสารเขาก็ขึ้นเครื่องบินได้ ไม่พอเอาชื่อท่านเชคเจ้าของสายการบินมาอ้างอีก ประมาณว่าพี่ท่านรู้จักคนใหญ่คน โตอะไรงี้
ลูกเรือก็อธิบายว่า เราต้องขอดูว่าผู้โดยสารทุกท่านมีบัตรที่นั่ง ก็แค่ต้องทำตามหน้าที่เท่านั้น พี่เสื้อขาวที่มาด้วยกันเขาหาบัตรโดยสารเจอกำลังจะยื่นให้ลูกเรือ แต่พี่เสื้อแดงกลับหยิบบัตรโดยสารไปแล้วโยนลงพื้นซะนั่น ลุกเรือก็ดีใจหายหยิบจากพื้นขึ้นมาดู แล้วส่งคืนผู้โดยสาร พี่เสื้อแดงสะบัดตูดเดินขึ้นบันไดไปชั้นธุรกิจด้านบนเลย ลูกเรือเลยมาฟ้องแหม่มค่ะว่า ผู้โดยสารเมาและทำตัวหยาบคาย หัวหน้าบนเครื่อง เลยให้ลูกเรือไปบอกค่ะว่า ถ้าจะขึ้นไฟลท์นี้ เราจะไม่เสริฟเหล้าให้พี่ผู้โดยสารเสื้อแดงแล้วนะ พอลูกเรือไปบอกว่าจะไม่เสริฟเหล้า พี่แกก็โวยวายด่าลุกเรืออีก เดชะบุญ ที่เรื่องเกิดตั้งแต่เครื่องยังไม่ออกค่ะ ทันทีที่เรารายงานกัปตันว่า ผู้โดยสารทำพฤติกรรมและหยาบคาย ด่าทอลูกเรืออย่างไร กัปตันบอกทันที “ไปเชิญท่านลงจากเครื่องเลย” ผู้โดยสารเมาแล้วซ่าส์ขนาดนี้เราไม่เอาไปด้วยค่ะ
แต่พี่เสื้อแดงท่านก็ไม่ยอมลงง่ายๆ ค่า ท่านยืนยันว่าถ้าจะเอาท่านลงจากเครื่อง ให้ยกไปทั้งตัวและเก้าอี้ น่านนน เราเลยเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจากสนามบินมา พี่แกก็มากันเป็นสิบเลยค่ะ ตัวโตๆ ทั้งนั้น มารุมอยู่เก้าอี้พี่เสื้อแดงกับเสื้อขาว คราวนี้ผู้โดยสารท่านอื่นๆ ในชั้นธุรกิจก็เริ่มมายืนมุงอยู่ด้วย กลายเป็นแขกมุงเล็กๆ กดดันให้ท่านผู้โดยสารทั้งสองคนลงจากเครื่อง แต่พี่เสื้อแดงก็ไม่หมดฤทธ์นะคะ ท่านสู้ยิบตา คว้าคอเสื้อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ง้างหมัดจะชกเข้าให้แล้ว คนอื่นๆ ต้องช่วยกันดึงทั้งสองคนออกจากกัน
พวกเราเห็นท่าไม่ค่อยดีก็กลัวผู้โดยสารท่านอื่นๆ ที่เดินเข้าไปมุงจะโดนลูกหลง ก็ต้องเข้าไปขอให้ผู้โดยสารนั่งประจำที่กัน เราเองก็กลัวแต่ก็ต้องเข้าไปกันผู้โดยสารท่านอื่นออกมา พอเขาจะต่อยกันที แอร์ก็กระเจิงที เดินหนีออกมาแทบไม่ทัน ใจงี้เต้นตุบๆ เลยค่ะ สุดท้ายพี่เสื้อแดงและพี่เสื้อขาวคงรู้ว่า ถ้าต่อยกันขึ้นมาจริงๆ คงโดนรุมแน่ ก็เลยยอมเดินออกไป ผู้โดยสารท่านอื่นๆ ตบมือกันกราวเลยทีเดียว เหตุเพราะผู้โดยสารเมาแค่คนเดียว ทำเอาไฟลท์นั้นดีเลย์ขาออกถึง 1 ชั่วโมงเลยค่ะ แต่ไม่เป็นไร สุดท้ายก็มาถึงกรุงเทพฯ จนได้ มาช้ายังดีไม่มา
เม้าท์มอยไปซะไกล มาเล่าเรื่องเลิฟๆ ที่เกริ่นไว้ตั้งแต่คราวก่อนนะคะ หนึ่งในตำนานรักสาวแอร์หมวกแดงที่ดังที่สุดในดูไบ ต้องมีเรื่องของ “พี่จอย” เพอร์เซอร์คนสวยติดโผค่ะ พี่จอยเป็นผู้หญิงไทยหน้าคมที่ตั้งสเป็คก่อนออกจากเมืองไทยไว้ว่า “จะไม่คบนักบินเพราะนักบินเจ้าชู้”
ผ่านไปอีกหลายปี มาเจอกันอีกทีบนไฟลท์โอซาก้า First officer คนเดิมกลายเป็น “กัปตันพี่แกรม” ไปซะแล้ว แต่เขาก็ยังจำพี่จอยของเราได้ ก็แหมนางสวยคมแถมขำซะขนาดนั้น จำไม่ได้ก็คงแปลกล่ะค่ะ พี่แกรมขอตามออกไปซื้อของในเมืองด้วย คราวนี้กัปตันพี่แกรมเริ่มออกตัวแรง แสดงท่าทีชัดขึ้น แต่พี่จอยก็ยืนยันปณิธานมั่นเหมาะว่า “จะไม่เอานักบิน”
จนผ่านไปเป็นปี พี่จอยก็หนีโชคชะตาไม่พ้น มาเจอพี่แกรมอีกค่ะ คราวนี้เป็นไฟลท์ยาว Melbourne 11 วันเลย เหมือนพรหมลิขิตจะบอกว่า “หนีดีนักใช่ไหม จัดไปเลย บินด้วยกัน 11 วัน 11 คืน” ซึ่งลูกเรือก็จะออกมาทานข้าวด้วยกัน สนิทสนมราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน และทริปนี้ พี่จอยก็สลัดพี่แกรมไม่หลุด โดนตามติดเป็นเงา จนพี่จอย เริ่มใจอ่อน ยอมที่จะติดต่อลองศึกษาพี่แกรมดู และหลังจากทริปนั้น พี่จอย กับ พี่แกรมก็เริ่มติดต่อกันทางอีเมล
แต่เส้นทางความรักของทั้งคู่ก็ไม่ได้สานต่อง่ายๆ ค่ะ พี่แกรมก็มีภาระเป็นลูกสาวถึงสองคน ส่วนทางบ้านพี่จอยก็ไม่อยากให้พี่จอยต้องคบหากับคนพ่อม่ายลูกติด คุณแม่พี่จอยถึงกับไม่รับไหว้พี่แกรม และไม่ยอมมองหน้าเลย แต่พี่แกรมก็อดทนพิสูจน์รักแท้ให้คุณแม่เห็น พยายามหิ้วของติดไม้ติดมือมาฝากคุณแม่ ไม่ได้คุย พี่แกรมก็พยายามยิ้มให้ เอาอกเอาใจพี่จอยสารพัด ดูใจกันอยู่นานหลายปี จนพี่จอยได้เลื่อนขั้นเป็นเพอร์เซอร์ สุดท้ายคุณแม่ก็ใจอ่อน ยอมให้พี่แกรมได้เลื่อนขั้นมาเป็นแฟนพี่จอยเสียที
จนวันที่ 3 มิถุนายน 2011 บนไฟลท์ ดูไบ-กรุงเทพฯ พี่จอยนั่งเป็นผู้โดยสารอยู่ในชั้นธุรกิจ เพื่อมาร่วมงานแต่งงานของแอร์รุ่นน้องที่กรุงเทพ และให้บังเอิญว่า ไฟลท์นั้นพี่แกรมก็เป็นนักบินพอดี กลางๆ ไฟลท์เหนือน่านน้ำภารตะ กัปตันพี่แกรมก็ทำประกาศบนเครื่อง
“Ladies and gentlemen, this is your captain speaking….(sub thai) ขณะนี้เราบินอยู่… …..บนไฟลท์นี้มีลูกเรือไทยนั่งกันเยอะเพื่อจะไปงานแต่งงาน และหนึ่งในนั้นก็มี แฟนกระผมอยู่ เธอชื่อว่า จอย…”
พี่จอยเริ่มงงว่า พี่แกรม ทำประกาศอะไรเวิ่นจัง นางนั่งฟังต่อแล้ว ก็ได้ยินพี่แกรมเรียกชื่อนาง ด้วยเสียงที่สั่นเล็กน้อย
“Joy , after all the time that we have been together……… Would you do me the honour to be my wife?”
อ๊ายยยยยยย คือเสียงกรี้ดของสตรีไทย จีน ฝรั่ง แทบทุกนางบนเครื่องวันนั้น
“ If the answer is yes, please come to the front to collect your ring.”
พี่จอยตั้งสติปุ้บรีบวิ่ง 4 คูณ 100 จากที่นั่งชั้นธุรกิจมาที่ข้างหน้าของเครื่องบินค่ะ ภาพเบื้องหน้าที่พี่จอยเห็นคือ ภาพผู้ชายที่เธอรักที่สุดในชีวิต อยู่ในชุดกัปตันนั่งคุกเข่าหนึ่งข้าง และยื่นแหวนเพชรเม็ดโตพร้อมรอยยิ้มอันคุ้นเคย พี่จอย เดินเข้าไปหา แล้วบอกพี่แกรมว่า
“ Yesss”
วินาทีนั้น ลูกเรือข้างหน้า ร้องไห้กันระนาว ไม่เว้นแม้แต่พี่แกรมเองที่ก็โผกอดพี่จอยพร้อมด้วยน้ำตา
ลูกเรือข้างหลังโทรศัพท์มาถามข้างหน้าว่า สถานการณ์เป็นอย่างไร เพราะผู้โดยสารข้างหลังอยากรู้กันว่า พี่จอยตอบตกลงไหม
พี่แกรมเลยต้องทำประกาศบนเครื่องอีกครั้งว่า
“She said Yes”
แค่นั้นล่ะค่ะ เฮกันทั้งลำเลยทั้งลูกเรือทั้งผู้โดยสาร มีคนลุ้นแทนมากจนพี่จอยต้องเดินไปโชว์ตัว และก็โชว์แหวนให้ผู้โดยสารข้างหลังดูกันเลย ไฟลท์นี้กลายเป็นการขอแต่งงานกลางอากาศ ที่มีคนร่วมแสดงความยินดีด้วยกว่า 500 คนเลยทีเดียวค่ะ โรแมนติคดีไหมคะ ไฟลท์ขอแต่งงานที่ลือลั่นของพี่จอยกับพี่แกรมของเราค่ะ