air_emirates5

ชีวิตแอร์หมวกแดงในดินแดนทะเลทราย

ม่ได้อัพเดทมานานมาก ด้วยภารกิจที่มากมาย (แหะๆ แก้ตัวครับ จริงๆ แล้วหมดมุขมากกว่า ทั้งๆ ที่ก็ผ่านประสบการณ์มากมายมาเหมือนกัน ทั้งการทำงาน การสอบเลื่อนตำแหน่ง และการรอคอยผลที่ยาวนานม๊ากๆๆๆ รู้ผลแล้วก็ต้องรออีเมล์แจ้งนัดเข้าเทรนนิ่งในหน้าที่ใหม่อีก แต่ก็ผ่านมาแล้วล่ะจากลูกเรือ Eco, Biz, FC วันนี้เป็น Senior) วันนี้ขอลอกรีวิวของเจ๊แหม่มมาลงให้อ่านกัน สำหรับน้องๆ ที่อยากเป็นและใฝ่ฝันในอาชีพเทวดานางฟ้า จะได้เตรียมตัว เตรียมใจไว้ล่วงหน้า สำหรับชีวิตลูกเรือครั้งแรกก็มักจะเป็นแบบนี้กันทุกคนเลยล่ะ เชิญติดตามได้เลย…

ชีวิตแอร์หมวกแดงในดินแดนทะเลทราย

โดย โค้ชแหม่ม SkyCoachMam

วัสดีค่ะ แหม่มหรือ โค้ชแหม่มจากเพจ skycoachmam นะคะ แหม่มพึ่งเริ่มมาเป็นสมาชิกในพันทิปได้ไม่นานค่ะ ยังไม่ค่อยรู้อะไรมากเลย แต่อยากลองเขียนประสบการณ์มาแบ่งปันให้ชาวพันทิป และคนที่สนใจชีวิตแอร์ต่างแดนกันดูค่ะ น้องๆ ที่กำลังจะจบมหาวิทยาลัย ได้เอาประสบการณ์แหม่มไปประกอบการตัดสินใจ เลือกอาชีพได้ด้วย คราวก่อนพึ่งเขียนแนะนำตัวไป พอแหม่มบออกว่าแหม่มเป็นแอร์มา 13 ปีแล้ว ก็มีน้องสงสัยว่าทำไมเป็นได้นานจัง ไม่ใช่สัญญา 3-5 ปีหรอ แหม่มขออธิบายว่า อันนี้ขึ้นอยู่กับสายการบินที่ทำ และประวัติการทำงานของตัวเราด้วยนะคะ หากเรามีผลงานที่ดี สายการบินย่อมอยากให้เราทำนานๆ ถูกไหมคะ

ตัวแหม่มเองเคยบินที่ Japan Airline อยู่ 5 ปี แต่ไม่ต่อสัญญาที่นั่น เลือกมาบินต่อให้ที่ สายการบินหมวกแดง ประจำอยู่ที่ดินแดนทะเลทรายค่ะ ใครรู้จักโรงแรมรูปเรือใบ หรือตึก Burj Khalifa ตึกที่สูงที่สุดในโลก ณ ตอนนี้ไหมคะ นั่นล่ะค่ะ เมืองดูไบ เมืองที่แหม่มอยู่เมืองนี้ แหม่มมาอยู่ได้จนถึงตอนนี้ก็ 8 ปีแล้วค่ะ 555 นานใช่ม้า เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วงค่ะ แหม่มมีเรื่องราวเม้าท์มอยมากมาย ทั้งความเป็นอยู่ที่นี่และการทำงานในฐานะแอร์สาวไทยในประเทศมุสลิมค่ะ

สายการบินที่แหม่มทำอยู่ ตอนนั้นรับคนไทยน้อยมาก ทราบมาว่าจากคนสมัครเป็นพัน สุดท้ายผ่านมาแค่ 6 คนเอง แล้ว น้องที่ได้รอบเดียวกันอีกคนหนึ่งที่ต้องบินมาพร้อมกัน เกิดสละสิทธ์ค่ะ แหม่มก็เลยจะต้องบินไปคนเดียว และอยู่คนเดียวก่อนที่เพื่อนๆ คนอื่นจะทยอยตามมาอาทิตย์ถัดๆ ไป ตอนจัดกระเป๋าขนอาหารแห้ง มาม่า ผงทำอาหารไทย น้ำพริกทั้งหลายไปตรึมค่ะ เพราะเขาบอกว่าเราอาจไม่ได้กลับมาเมืองไทย จนกว่าจะผ่านช่วง Probation 6 เดือน และแหม่มก็ไม่รู้เลยว่าที่นู่นจะเป็นยังงัย จะมีอะไรให้ทานบ้างไหม ไม่เคยไปอยู่ตะวันออกกลางด้วย เลยต้องขนไปกันตายก่อนค่ะ

เห็นเขาไม่ได้มีข้อห้ามเรื่อง “ผลิตภัณฑ์สุกร” ก็เลยขนหมูหยอง หมูแผ่นไปบ้างเล็กน้อย กันหาทานไม่ได้ ประมาณว่า เรื่องกินเรื่องใหญ่เรื่องตายเรื่องเล็ก (คือ แหม่มครอบครัวคนจีน ชินทานข้าวต้มกับหมูหยอง หมูแผ่นตอนเช้าๆ ไงคะ อิอิ) แล้วก็ที่ขาดไม่ได้ก็คือเครื่องเล่น DVD MP3 ที่ตอนนั้นฮิตมาก พร้อม DVD ละครไทยเพียบ กลัวไปแล้วเหงา อย่างน้อยก็มีหนังดู (คือ พี่ Steve Jobs ยังไม่ได้ประดิษฐ์ iPhone iPad ให้เราดูหนังละครออนไลน์ได้ค่ะ) สายการบินให้น้ำหนักมา 50 กิโล แหม่มขนไปเกินค่ะ ต้องไปเสียค่าปรับ กิโลละ 10 USD เรทตอนนั้น 1 USD = 40 บาทค่ะ 40*10=400 ก็โดนไปหลายพันอยู่

ตอนอยู่บนเครื่องบิน แหม่มนั่งริมหน้าต่าง ตอนที่ลูกเรือเสริฟอาหาร แหม่มก็คุยกับลูกเรือ แล้วจู่ๆ เขาก็ถามว่าเราเป็นลูกเรือหรือเปล่า เหมือนหน้าผากเขียนไว้หรือไรก็ไม่ทราบ ก็เลยบอกเขาว่ายังไม่ได้เป็น เพิ่งจะมา กำลังจะเริ่มเทรนในอีก 2 วัน ลูกเรือก็ดีใจหายไปตามเพอร์เซอร์ หรือหัวหน้าบนเครื่องบินมารู้จักแหม่ม เพอร์เซอร์บอกว่า ไว้หลังจากทำเซอร์วิสเสร็จ จะมาพาไปเดินดูเครื่องบิน ให้เตรียมกล้องถ่ายรูปไว้ด้วย แหม่มดีใจตื่นเต้นมาก นั่งถ่างตารอเขามาเรียก ปรากฏจนถึงที่ดูไบก็ไม่มีใครมาค่ะ 555 นั่งคอยเก้อเบย จนทุกวันนี้เวลาแหม่มเจอลูกเรือใหม่ที่จะมาเทรน แหม่มมักจะพาเขาเดินดูเครื่อง เพราะจำความรู้สึกตื่นเต้นของตัวเองวันนั้นได้ และอยากให้คนอื่นๆ ได้มีประสบการณ์ที่เต็มอิ่มแทนแหม่ม ไม่อยากให้เขาต้องรอเก้อ ชะเงิ้บเหมือนเรา

พอเครื่องมาถึงที่ดูไบ ทางสายการบินก็มีเจ้าหน้าที่จาก Marhaba service มาต้อนรับและพาเราผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และรับเอกสารทั้งหลายค่ะ ในสนามบินก็จะเห็นคนชาวอินเดีย ปากีสถาน มากมายต่อแถวรอทำเอกสารเพื่อมาขายแรงงานที่นี่ โชคดีที่เรามีเจ้าหน้าที่ทำให้เลยไม่ต้องวุ่นวาย หรือรอคิวนานค่ะ เท่าที่สังเกตุเห็น เจ้าหน้าที่ของรัฐจะเป็นคนท้องถิ่นของที่นี่ ซึ่งผู้ชายก็จะใส่ชุดคลุมสีขาว ยาวถึงพื้น ส่วนผู้หญิงก็จะชุดคลุมสีดำค่ะ ส่วนเจ้าหน้าที่ทั่วไปก็เป็นคนอินเดียหรือฟิลิปปินส์ แหม่มมาทราบภายหลังว่า ประเทศนี้ประชากรเขาเองน้อยมากแค่ 10% เท่านั้น ที่เหลือคือ Expat หรือคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานที่นี่ เพราะฉะนั้น คนท้องถิ่นก็มักจะทำงานให้รัฐบาล เพราะเป็นงานที่เงินดีและมีเกียรติค่ะ ชนชั้นใช้แรงงานที่นี่มักเป็นชาวอินเดียหรือปากีสถาน และคนที่ทำงานบริการมักมาจากเอเชีย ส่วนพวกที่ทำงานออฟฟิศ เป็นผู้จัดการหรือทำตำแหน่งดีๆ ก็จะเป็นชาวยุโรปค่ะ เรียกว่าหลากหลายจริงๆ

พอผ่านพิธีการรวจคนเข้าเมือง แหม่มก็ไปรับกระเป๋าเดินทาง 2 ใบใหญ่ แล้วก็ออกมารอที่หน้าสนามบินค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่าให้รอ ลูกเรือชาวสิงคโปร์ที่จะเดินทางมาไฟลท์ใกล้ๆ กัน เพราะเราพักอยู่ที่เดียวกัน รอสักพักเจ้าหน้าที่อีกคนก็พาผู้หญิงมา 3 คน ดีใจมากที่จะมีเพื่อนแล้ว ไม่นึกเลยว่าจากวันนั้น เพื่อนสาวชาวสิงคโปร์ทั้ง 3 คนนั้นจะกลายมาเป็นเพื่อนสนิทที่อยู่ร่วมชะตาชีวิต และผูกพันธ์กันมาจนวันนี้ กินนอนด้วยกัน นั่งเฝ้าปรับทุกข์สุขกัน ดูแลกันเวลาเจ็บป่วย ร้อนใจ ถึงขนาดว่าแต่งงานกันไป แหม่มก็บินไปเป็นเพื่อนเจ้าสาวให้ ลาออกไปก็ยังคุยกันอยู่ เรียกได้ว่า ถึงสถานะสมรสจะเปลี่ยน แต่มิตรภาพไม่เคยเปลี่ยนเลย ส่วนนึงที่ทำให้เรารักกันมากอาจเป็นเพราะ การไปอยู่ต่างแดนเราไกลจากครอบครัว จากคนรักนะคะ มันก็เห็นอกเห็นใจ พึ่งพาช่วยเหลือกัน ทำให้รักกันมากกว่าคนที่เพื่อนร่วมงานตามปกติน่ะค่ะ

อ้าว เวิ่นไปซะไกล ย้อนมาว่า พอสมาชิกครบองค์ เจ้าหน้าที่ก็พามาที่อาคารที่พัก ซึ่งเป็นตึกสูงเหมือนคอนโดบ้านเรานี่่ะค่ะ สายการบินให้เราอยู่รวมกัน โดยที่ตึกที่แหม่มได้อยู่ชื่อว่า Manazel รู้สึกจะเป็นภาษาอารบิกแปลว่า บ้าน นะคะ หนึ่งห้องเปิดเข้าไป เป็นเหมือนห้องคอนโดใหญ่ๆ มีห้องนั่งเล่น มีชุดโซฟา ชั้นวางทีวี โต้ะทานข้าวแบบ 6 ที่นั่ง โคมไฟ ห้องซักรีดที่มีเครื่องซักผ้าและเครื่องปั่นแห้ง ห้องครัวแบบเปิด พร้อมเตาและชั้นวางของติดตั้งไว้แล้ว ห้องนอน 3 ห้องนอนมีห้องน้ำในตัว เตียง โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้าพร้อม เรียกได้ว่า พร้อมอาศัยมากๆ นอกจากนี้ยังมี Starter kit ซึ่งมีของกิน หม้อไห จานชามช้อนถ้วย ผ้านวม ผ้าปุเตียง หมอน ให้อีกพร้อมสรรพ เขาบอกว่าทุกตึกที่สายการบินจัดให้ลูกเรือจะมี ยิมและสระว่ายน้ำให้ลูกเรือออกกำลังกาย ซึ่งในตึกที่แหม่มอยู่นอกจากยิม ยังมีสนามสคอทซ์ และที่สระก็มีซาวน่ากับห้องสตรีมอีก เรียกได้ว่าโชคดีมากๆ เลยค่ะ ที่ได้อยู่ตึกนี้ ไว้จะทยอยเอารูปมาลงให้ดูนะคะ

ห้องที่ตึก Manazel เป็นแบบ 3 ห้องนอน นั่นก็หมายความว่าแหม่มจะต้องมีรูมเมทอีก 2 คนใช้ห้องนั่งเล่น และห้องครัวด้วยกัน สายการบินก็ใจดีนะคะ เขาพยายามจัดให้คนชาติเดียวกันพักด้วยกัน คนสูบบุหรี่พักกับคนสูบบุหรี่ ประมาณนี้เพื่อนสาวชาวสิงคโปร์ 3 คนที่ตึกพร้อมกัน 2 คนคือ Janice กับ Lynn ได้อยู่ด้วยกัน แฟลทเมทอีกคนเป็นก็เป็นคนสิงคโปร์ที่มาเทรน 2 อาทิตย์ก่อนหน้าเรา ส่วน Elicia สาวสิงคโปรอีกคน เขาสูบบุหรี่ก็เลยได้พักอยู่ห้องเดียวกับคนมาเลเซีย และคนสิงคโปร์ที่มาอยู่ก่อนหน้า และก็สูบบุหรี่เหมือนกัน ส่วนแหม่ม เจ้าหน้าที่พาไปดูห้องเป็นคนสุดท้าย ห้องที่แหม่มอยู่ยังไม่มีใครมา แหม่มเข้าพักคนเดียวในห้องก่อน โห… ห… ฟังแล้วโดดเดี่ยวพิลึก มาก็มาคนเดียว มาถึงยังต้องอยู่คนเดียวอีกตั้งหนึ่งอาทิตย์กว่าจะมีคนมาอยู่ด้วย แหม่ม คงหน้าเสียมั้งคะ เจ้าหน้าที่ก็เลยปลอบว่า อีกอาทิตย์หนึ่งจะมีคนไทยที่สอบผ่านสัมภาษณ์รอบเดียวกันตามมาอยู่ด้วยอีก 2 คน Lynn ก็น่ารักมากๆ บอกว่าไม่ต้องเศร้าหรอก ถึงเราไม่ได้เป็นแฟลทเมทกันแต่เราก็เป็น batch mate (เพื่อนร่วมชั้น) กันนะ แล้วก็ยิ้มแบบจริงใจมวากทั้งที่พึ่งรู้จักกัน ประทับใจเพื่อนชื่อ Lynn ตั้งแต่นาทีนั้นเลยค่ะ

หลังจากนั้น พวกเรา 4 สาวก็แยกย้ายมวลร่างกายไปพักผ่อนห้องใครห้องมันค่ะ ตกเย็น Lynn ก็มาเคาะที่ห้อง ชวนออกไปซื้อของ ซื้อซิมโทรศัพท์ และก็หาใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อติดต่อทางบ้านกัน พวกเรา 4 คน ก็เลยเริ่มเดินสำรวจภูมิภาคกัน เล่าสักนิดว่า ที่ดูไบ ย่านที่แหม่มอยู่เรียกว่า Bur Dubai ค่ะเป็นย่านที่อยู่อาศัย ก็จะไม่ค่อยมีตึกสูงๆ เท่าไหร่ ตึกที่แหม่มอยู่จัดเป็นตึกคู่ที่เด่นมากของย่านนั้น

ตอนที่พวกเรา 4 สาวไปเดินแรกๆ ก็มีรถที่ขับอยู่บนถนนบีบแตรใส่แล้วก็ขับชะลอมา เลียบๆ มองๆ เราก็ยังไม่รู้กันว่าอะไร ค่อยมารู้ทีหลังว่าที่เขาทำอย่างนั้น เพราะเขานึกว่าเราเป็นสาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาขายบริการค่ะ เพราะละแวกนั้นมีโรงแรมจิ้งหรีดที่สาวๆ พวกนั้นทำงานกันอยู่ ก็เลยมาเทียบเคียงเพื่อดูตัวอะไรอย่างนี้ รู้แล้วปรี๊ดเลยค่ะ ขนาดแต่งตัวมิดชิดธรรมดานะนั่น

ส่วนย่านถนนสายธุรกิจที่มีตึกสูงๆ มากมาย มีชื่อว่า Shiekh Zyed Road ค่ะ เทียบกับเมืองไทยก็คงเป็นสีลมประมาณนั้นค่ะ บ่องตงว่า แหม่มพึ่งมาทราบตอนอยู่ที่นี่ล่ะค่ะ ว่าคำว่า Shiekh ที่แปลว่า หัวหน้าเผ่า หรือ เจ้าชายชาวอารบิก อ่านว่า เชค ค่ะไม่ใช่ ชีค อย่างที่เราๆ ท่านๆ ออกเสียงกัน ถนนนี้เขามีชื่อว่า เชคไซเอ็ดค่ะ มีลูกเรือหลายคนก็ได้พักตึกลูกเรือที่อยู่บนถนนสายนี้นะคะ ก็ไฮโซกันไปประมาณว่า ได้อยู่คอนโดสีลม สาธร เลยว่างั้น ไปไหนมาไหนก็จะสะดวกกว่า และมีร้านค้า ร้านอาหารดีๆ มากกว่าย่านฝั่งธน Bur Dubai ของแหม่มค่ะ

พวกเราออกไปสำรวจก็ได้เจอ supermarket สองแห่งค่ะ ที่หนึ่งเป็นของอินเดีย อีกที่เป็นของอังกฤษ เราก็ไม่รอช้า เข้าอันของอินเดียค่ะ เพราะของถูกกว่า 555 และที่นี่ก็มีผักหน้าตาเหมือนของบ้านเราเลย พวกเรายังไม่ได้มีรายได้ ค่าเทรนอะไรใช่มั้ยคะ ก็เลยซื้อกันมาแค่พวกของใช้ที่จำเป็น ที่ไม่ได้รวมอยู่ใน Starter kit และก็ของสดๆ เพื่อมาทำกับข้าวทานกัน เมนูวันนั้น พอจะทายได้ไหมคะว่าอะไร ไข่เจียวค่ะ ข้าวผัด และไข่เจียวเป็นเมนูกันตายที่ทำง่าย แต่เรียกน้ำลายได้ตลอดเวลา ยิ่งมาอยู่ต่างแดน ยิ่งอร่อยซึ้งค่ะ เพื่อนๆ ชาวสิงคโปร์ทำกับข้าวไม่เป็นกัน ก็เลยชื่นชอบฝีมือสาวไทยกันใหญ่ ทั้งที่แหม่มก็ไม่ได้ทำเมนูยากอะไรเลย ได้หน้าไปซะงั้น หรือเขาชมเพื่อหลอกให้เราทำก็ไม่รู้

พวกเรามีเวลาได้พัก จัดข้าวของกันอีกวันนึงค่ะ ก่อนที่จะเริ่มเทรนกัน ที่นี่ไม่เหมือนเมืองไทยนะคะ เพราะเป็นประเทศที่ปกครองโดยศาสนาอิสลาม วันทำงานเริ่มจากวันอาทิตย์ค่ะ วันหยุดสุดสัปดาห์คือ วันศุกร์ และ เสาร์ วันแรกที่พวกเราเริ่มเทรน บริษัทให้เราแต่งชุดสุภาพค่ะ พอแต่งตัวเสร็จลงมาที่ล้อบบี้รอรถมารับที่ตึก ตอนเช้า ก็เลยได้รู้จักเพื่อน Batch mate ที่พักตึกเดียวกันเพิ่ม มีสามสาวจากนิวซีแลนด์ หนึ่งสาวไอริช และอีกหนึ่งสาวอังกฤษจากเมืองลิเวอร์พูลค่ะ ถึงแหม่มจะเรียนเอกอังกฤษที่ธรรมศาสตร์มา แต่พอเจอสำเนียงคนลิเวอรพูลเข้าไป ใบ้เลยค่ะ ฟังนางไม่ออกสักคำ ไม่ออกจริงๆ ค่ะ สารภาพ

หันไปถามเพื่อนสิงคโปร์ว่า ฟังออกไหม เขาก็บอกออกบ้างไม่ออกบ้าง แล้วก็ช่วยแปลอังกฤษเป็นอังกฤษให้แหม่มอีกต่อหนึ่ง เวลาแหม่มคุยกับสาวลิเวอร์พูล คนอื่นขำกันกลิ้ง เพราะนางก็ฟังแหม่มไม่ออก แหม่มก็ฟังนางไม่ออก สองคนพูดกันแต่ไม่มีใครเข้าใจกันเลย ฮากันอย่างเดียว และเพื่อนสาวคนนี้ นางไม่เคยไปเมืองนอกเลยค่ะ นางบอกว่านางคิดมาตลอดว่า พวกเราคนเอเชีย หัวดำ พูดภาษาเดียวกันทั่วโลก คือภาษาเอเชี่ยน ค่ะ เอากะนางสิ ฮามั้ยคะ

นอกจากแหม่มจะได้เจอเพื่อนใน batch เดียวกันแล้ว ก็ยังได้เจอคนไทยคนอื่นๆ ที่มาเทรนก่อนหน้าแหม่มด้วย ตึกแหม่มเป็นตึกใหม่พึ่งเปิดค่ะ ก็จะมีลูกเรือที่กำลังจะเทรนพักกันเยอะ ก็เลยโชคดีได้รู้จักคนไทยในตึกเพิ่มขึ้นอีกคน พวกเราขึ้นรถบริษัทไปถึง training college หรือโรงเรียนฝึกลูกเรือของพวกเราค่ะ ซึ่งอาคารนี้เก๋กู้ดมาก สร้างเป็นรูปเครื่องบินค่ะ เราเคยเห็นแต่ในรูปใช่มั้ยคะ พอมาเห็นของจริงก็รีบชักภาพด่วนค่ะ

พอเข้าไปในห้องก็ได้รู้จักเพื่อนใน Batch ที่พักอยู่ตึกอื่นเพิ่มขึ้น มีสาวอินเดีย สาวอังกฤษจากลอนดอน และก็หนุ่มจากเยอรมัน หนุ่มโอมาน และก็หนุ่มจากแอฟริกาใต้อีกคนค่ะ บริษัทเรียกพวกเราว่า abinitio รุ่นที่ 725 ค่ะ ด้วยความที่สัญชาติลูกเรือในสายการบินนี้หลากหลายมาก ภาษาอังกฤษเลยเป็นภาษากลางที่เราทุกคนต้องใช้กัน แต่ก็ไม่ใช่ว่า ทุกคนจะพูดภาษาอังกฤษคล่องแบบ native speaker กันซะทุกคน และแต่ละคนก็มีสำเนียงตามประเทศที่ตัวเองมาอีกด้วย

อย่างเพื่อนสิงคโปร์ก็จะโดนล้อว่าพูด Singlish คือ อังกฤษแบบจีนๆ พูดเร็วๆ และตัดคำนั่นเอง เช่น คำว่า airport พี่ออกเสียง แอปอด ค่ะ สั้นซะ ส่วนคนเยอรมันก็จะออกเสียงตัว c กับตัว g สลับกันค่ะ อย่างถามหนุ่มเยอรมันว่าทานอะไรเขาจะบอกว่าทานไส้กรอกกับผักกาด cabbage แต่ดันบอกว่า ทาน garbage ขยะ ไปซะงั้น ส่วนแหม่มก็จะโดนล้อเรื่องตัว R กับตัว L เพราะการออกเสียงตัว R ที่ถูกเราควรทำปากจู๋และม้วนลิ้นเล็กน้อย แต่ถ้าเวลาขี้เกียจก็จะอออกเสียงผิดค่ะ ตัวอย่างคลาสสิคของคนไทยเลยคือ ออกเสียง Fried rice ข้าวผัดเป็น Fly lice ที่แปลว่า เหาบิน ค่ะ แล้วแหม่มมักลากเสียงคำสุดท้ายไงคะ เช่น สวัสดีค่าาา พอบางทีพูดภาษาอังกฤษก็เผลอ Fly liceee เหาบินยาวเลยค่ะ เง้อ

อีกอันนึงที่จำได้ดีคือ ตอนคุยกับเพื่อนสิงคโปร์พวกเขาก็ว่า สาวสิงคโปร์นี่มาตรฐานเลือกผู้ชาย คือ ฐานะต้องมาก่อนเลย หน้าตายังพอถูไถ แหม่มก็เลยเสริมว่า แหม่มก็เคยได้ยินนะที่ว่าผู้ชายสิงคโปร์ต้องมี 4 c คือ Car Condo Cash และก็ Career (อาชีพการงาน) ที่ดีใช่มะ เพื่อนๆ ก็งง อะไร อันสุดท้ายอะไร แหม่มก็พูดใหม่ Career แต่คราวนี้ออกเสียงตัว r อย่างชัดเจนเลยค่ะ เพื่อนๆ ก็ยังงง ถามว่ามันแปลว่าอะไร แหม่มก็บอกว่า แปลว่า job อ่ะ เขาก็ไม่เก็ทกันให้แหม่มสะกดให้เขา แหม่มก็สะกด c-a-r-ee-r “แคเรีย” เพื่อน 3 คนพูดพร้อมกัน โอ้ว “ขะ เรียย” คือ มันเน้นสียงที่พยางค์สุดท้ายค่ะ พยางค์แรกไม่ค่อยออก ก็ไม่รู้นี่คะ ก็ออกเสียงเหมือนยี่ห้อเครื่องปรับอากาศยี่ห้อหนึ่ง ในโฆษณาก็เห็นพูดอยู่ แคเรีย แคเรีย ซะชัดเชียว

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องภาษาอังกฤษ แหม่มบอกเลยค่ะ ว่าตัวแหม่มเองไม่เคยเรียนเมืองนอก แต่แหม่มใช้ภาษาได้คล่อง เพราะแหม่มไม่กลัวที่จะพูดค่ะ พูดผิดใช้ศัพท์ผิดก็ไม่เป็นไร เรียนรู้ไป คราวหน้าก็จำไว้ จะได้พูดได้ถูก อย่างที่มีคนบอกไว้นะคะว่า “English is not monster, do not be afraid of it.” และเวลาแหม่มพูดแหม่มก็พูดด้วยสำเนียงไทยๆของแหม่มนี่่ะค่ะ แหม่มเป็นคนไทย ก็มีสำเนียงไทย ไม่เห็นจะแปลกอะไรเลยค่ะ ถ้าตราบใดที่เราออกเสียงพยัญชนะถูก และเน้นเสียงสูงต่ำถูกที่นะคะ พูดให้ชัด ไม่ต้องรีบรัวเป็นปืนกล ฝรั่งจีนแขกก็เข้าใจเราค่ะ มีนะคะที่คนไทยพยายามจะพูดด้วยสำเนียงเลียนแบบคนอื่น แล้วเพื่อนๆที่เป็นเจ้าของสำเนียงก็มาถามแหม่มว่า ทำไมคนไทยคนนั้นต้องเฟคสำเนียงด้วย แหม่มไม่ทราบจะตอบอะไร ก็เลยบอกเพื่อนให้ไปถามเขาเองละกัน สาวแอร์นี้ก็ช่างเม้าท์เนอะ 555

อยู่ไปได้อาทิตย์นึง ก็มีคนไทยตามมาอีก 3 คนค่ะ 2 คนสัมภาษณ์รอบเดียวกับแหม่ม แล้วก็ได้มาอยู่ห้องเดียวกัน เย้ แหม่มมีแฟลตเมทแล้ว ส่วนน้องอีกคนนึงเขาผ่านคัดเลือกตั้งแต่รอบที่แล้ว ประมาณ เขาก็เลยได้ไปอยู่กับคนที่ผ่านมารอบเดียวกันกับเขา และมาเทรนได้จะ ครบเดือนละค่ะ คราวนี้แหม่มก็เลยได้รู้จักคนไทยในตึกเพิ่มมากขึ้นอีก และก็มีตามมาเรื่อยๆ ทุกอาทิตย์ จนมาครบทั้ง 6 คนในรอบแหม่ม คนเริ่มเรียกพวกเราว่า สาวๆ Manazel ค่ะ และแต่ละคนในตึกก็ไม่ธรรมดาค่ะ เป็นแอร์เก่าจากบางกอกแอร์เวย์บ้าง เป็นนางงาม เป็นนางแบบมาบ้าง หน้าตามีทั้งแบบขาวหมวย คมเข้ม น่ารัก เซกซี่ บางคนตัวเล็ก บางคนสูงใหญ่ เป็นสาวไซส์ 175 มาเลยค่ะ ดูไม่ซ้ำกันเลย เห็นที่มีเหมือนกันก็คือ ทุกคนจะยิ้มเก่ง คุยกับคนง่าย และก็ดูชอบช่วยเหลือคนอื่นนะคะ ทานข้าวด้วยกันก็จะแย่งกันจัดช้อนชาม ช่วยกันทำ ช่วยกันเก็บ ประมาณว่าใครขาดเหลืออะไรก็จะจิตอาสา ให้เพื่อนพึ่งพายามยากได้อ่ะค่ะ เรียกได้ว่า กรรมการเขาก็คัดมาเหมาะสมกับงานอยู่นะคะ แอบคิดเข้าข้างตัวเอง 55

การทำ CPR

พูดถึงช่วงเทรน คนที่ไม่ได้ทำอาชีพนี้อาจนึกไม่ออกว่า อาชีพอย่างเราที่ท่านๆ เห็นแค่ว่าเดิน ยิ้มไปยิ้มมาบนเครื่อง ตอนเทรนเนี่ยมันโหดหินขนาดไหนนะคะ แต่แหม กว่าจะสอบแอร์มาได้ทั้งที หนักแค่ไหนเราก็สู้ตายกันค่ะ

เท่าที่แหม่มบินมาทั้งสายญี่ปุ่นและสายตะวันออกกลาง เนื้อหาการเทรนค่อนข้างคล้ายกัน คือจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนค่ะ ส่วนแรกยากที่สุดและเครียดที่สุดค่ะ คือ safety emergency procedure เป็นเรื่องที่ว่าด้วยความปลอดภัยค่ะ เพราะแอร์สจ็วตไม่ได้มีไว้ประดับเครื่องบิน แค่เพื่อเสริฟไก่กาอาลาเล่นะคะ แต่เรามาเพื่อดูแลความปลอดภัยของท่านผู้โดยสารทั้งหลายทั้งปวงค่ะ เราเรียนตั้งแต่ว่าชิ้นส่วนของเครื่องบินมีอะไรบ้าง ตั้งแต่ล้อยันหาง และเรียกว่าอะไรในภาษาอังกฤษ มีระบบไฟฉุกเฉิน ออกซิเจน หรือ ระบบเตือนภัยอะไรบนเครื่องบินบ้าง แต่ละระบบทำงานอย่างไร อุปกรณ์ฉุกเฉินเช่น ถังดับเพลิง ถังออกซิเจน เครื่องส่งสัญญาณวิทยุ อยู่ที่ไหน ใช้อย่างไร จำแค่นี้ก็ว่ายากแล้วนะคะ เผอิญเราบินเครื่องบินหลายชนิดอีก ทั้ง Boeing 777-300, Boeing 777-200, Airbus330, Airbus 340-300, Airbus 340-500 แล้วแต่ละเครื่องก็มีอุปกรณ์ และ ระบบต่างกัน วิธีการใช้ต่างกัน วันนี้เรียนเครื่องนึง อีกวันนึงเรียนอีกเครื่องแล้ว จำของเก่ายังไม่ทันได้ ของใหม่มาอีกแล้ว เรียนเสร็จก็กลับมานั่งท่องจนดึกจนดื่น เป็นอย่างนี้อยู่ 2 อาทิตย์ได้ค่ะ แล้วตอนสอบนี่สอบรวมกันทุกเครื่องบินเลยนะคะ ข้อสอบก็มีทั้งแบบตัวเลือกและเขียนบรรยายเลยค่ะ เรียกว่าต้องจำให้อยู่ในสายเลือดและกระดูกดำกันเลยล่ะค่ะ

แหม่มโชคดีหน่อยที่เคยบินมาก่อนกับสายญี่ปุ่น ที่เน้นเรื่องความปลอดภัยอันดับหนึ่ง แถมตอนนั้นเป็นหัวหน้า เวลาบินก็มีการทดสอบความรู้ด้านความปลอดภัยรุ่นน้องอยู่บ่อยๆ ความรู้เรื่องเครื่องบิน และความปลอดภัยของแหม่มเลยค่อนข้างแม่นค่ะ พอมาเรียนเครื่องบินที่ระบบคล้ายๆ กันเลยจำได้ไวกว่าคนอื่นที่อาจไม่เคยบินมา ทำให้สอบได้คะแนนเต็มเป็นที่เชิดหน้าชูตาว่า หญิงไทยก็ไม่แพ้ชาติไหนในโลกค่ะ และด้วยความที่แหม่มมาเทรนเป็นคนแรกในรุ่น พอสอบเสร็จแหม่มก็จะออกมาเขียนข้อสอบ และคำตอบเอาไว้ แล้วส่งต่อให้แฟลตเมทกับเพื่อนๆ ที่เทรนตามๆ กันมา รอดกันเป็นหมู่คณะไม่มีใครสอบตกสักคนเลยค่ะ อิอิ

ที่โรงเรียนนอกจากที่เราต้องเรียนเรื่องทฤษฎีกันแล้ว เรายังต้องมีการฝึกซ้อมภาคปฏิบัติด้วยนะคะ ประมาณว่า หากเครื่องบินเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน ไม่ว่าจะไฟไหม้ น้ำมันรั่ว ตกหลุมอากาศอย่างแรง หรือแย่สุดเครื่องตก (แล้วไม่เสียชีวิต เย้) เราต้องรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ อย่างไร และจะช่วยเหลือผู้โดยสารอย่างไร เราได้เข้าไปฝึกจริงใน simulator ที่เป็นห้องจำลองเครื่องบินค่ะ ฝึกเปิดประตูฉุกเฉินเครื่องต่างๆ ให้คล่อง ซ้อมการออกคำสั่ง และก็การอพยพผู้โดยสารออกจากเครื่องโดยเร็วที่สุด โดยเราได้ฝึกซ้อมในเหตุการณ์เสมือนจริงมากค่ะ เช่นในเหตุการณ์จำลองว่าเครื่องยนต์มีปัญหา ก็จะมีควันโขมงออกมาในห้องโดยสาร ตัวเครื่องสั่นสะเทือน มีสัญญานเตือนภัยดังไปทั่ว ไฟดับ หน้ากากออกซิเจนตก โอ้ว โรงหนัง 4D หลบชิดซ้ายไปเลยค่ะ แล้วเราก็จะต้องแก้ไขสถานการณ์ตามที่เรียนมา คือ หลังจากเครื่องจอดสนิท เราสังเกตุภาวะรอบตัว เตรียมพร้อมรอคำสั่งจากกัปตัน หากต้องอพยพออกจากเครื่องจริงๆ ก็รีบเปิดประตูปล่อยสไลด์ฉุกเฉิน เพื่อหนีออกจากเครื่อง แต่แอร์ห้ามหนีตายก่อนนะคะ เราๆ ชาวลูกเรือถูกฝึกให้ช่วยผู้โดยสารหนีออกจากเครื่องก่อน แล้วค่อยออกเป็นคนสุดท้ายค่ะ ไม่ใช่แอร์เปิดประตูปุ้บแล้วเผ่นหนีก่อนใครอื่นเลย แล้วอ้างว่าลงไปรอให้กำลังใจข้างล่าง อันนั้นอาจโดนประนามได้ค่ะ 55

อย่างการฝึกดับเพลิง เราก็ฝึกเล่นกับไฟ อุ้ย ไม่ใช่ฝึกสู้กับไฟของจริงค่ะ ยกถังยืนสู้กับไฟกันเลย เพราะบนความสูง 39,000 ฟุต ไฟไม่ดับ เราดับ สถานเดียวค่ะ เรียกได้ว่า เทรนเสร็จหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินไฟไหม้ หรือเครื่องประสบ อุบัติเหตุขึ้นมาเราก็พร้อมสลัดภาพนางฟ้า มาเป็นนักผจญเพลิงหรือหน่วยกล้าตายกันทันทีนะคะ

หลังจากที่เราผ่านการเทรน safety กันเสร็จแล้ว เนื้อหาส่วนถัดไปก็คือเรื่อง General Medical Training ที่เน้นเรื่องการปฐมพยาบาลค่ะ ถึงเราจะไม่ได้เรียนหนักขนาดคุณหมอ ยังรักษาใครไม่ได้ แต่เราก็ให้การปฐมพยาบาลตามอาการที่ท่านผู้โดยสารบอกมา หรือเราสังเกตุเห็นได้ค่ะ ประมาณว่า เป็นพยาบาลผสมกับหมอตี๋ หมอหมวย ตามร้านขายยาประมาณนั้นเลย เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องจดจำโดยละเอียดให้ได้ว่าอาการแบบนี้ เป็นลักษณะของโรคอะไร และต้องให้การปฐมพยาบาลอย่างไร เพราะถ้าจำไม่ได้ให้ยาผิดผู้โดยสารก็คงจะแย่ อย่างอาการเบาๆ เช่น ปวดหัวตัวร้อน ก็อาจจะแค่ให้ยาแก้ปวดตามอาการ แต่ถ้าหากอาการหนักขึ้น เช่น เป็นลมหมดสติ เราก็อาจต้องให้ออกซิเจน และยกเท้าให้สูง เพื่อให้เลือดไปเลี้ยงศรีษะ แต่ถ้าอาการหนักขนาดหัวใจวาย เราก็จะต้อง CPR หรือใช้เครื่องปั้มหัวใจเพื่อช่วยผู้โดยสารกันค่ะ

จะบอกว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปีที่แหม่มบินให้สายการบินหมวกแดง ณ ดูไบ แห่งนี้ แหม่มได้ใช้ความรู้ปฐมพยาบาลที่เทรนมาเยอะมากค่ะ จ่ายยาเอย ทำแผลเอย ดูแลผู้โดยสารเป็นลมเอย นับครั้งไม่ถ้วน ทำ CPR และใช้เครื่องช็อตหัวใจไฟฟ้าให้ผู้โดยสารก็เคยมาแล้ว ขาดอย่างเดียว ยังไม่เคยทำคลอดให้ผู้โดยสารคนไหนเลยค่ะ คุณแม่คนไหนอยากให้พยาบาลสาวแอร์คนนี้ ทำคลอดให้บอกมานะคะ อิอิ

สอบเสร็จไป 2 ส่วน เราก็เริ่มสบายตัวกันละค่ะ เนื้อหาส่วนสุดท้ายของการเทรนคือ เรื่องของ Service ค่ะ เป็นการเทรนที่สบายที่สุด แต่ก็หัวใจของงานนี้เลยทีเดียว เท่าที่ทำงานมานะคะ การบริการของสายการบินแต่ละสายก็จะแตกต่างกันไป ตามวัฒนธรรมองค์กรค่ะ อย่างสายญี่ปุ่นที่แหม่มเคยทำมา การบริการก็จะสุภาพนอบน้อมมากถึงมากที่สุดในสามโลก เพราะวัฒนธรมมญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการแสดงความเคารพต่อผู้อาวุโส หรือผู้ที่มีศักดิ์สูงกว่า เพราะฉะนั้น ลูกค้าคือพระเจ้าตัวจริงค่ะ ลูกเรือทำอะไรผิดแต่ละที ก็แทบจะคว้านท้องฮาราคีรีกันเลยค่ะ

อย่างเรื่องชนิดอาหารที่เสริฟหมด เช่น ปลาหมดเหลือแต่ไก่อย่างนี้ แอร์จะถูกฝึกให้ก้มศรีษะเพื่อแสดงความขอโทษและก็ต้องใช้คำขอร้องท่านผู้ โดยสารให้ช่วยกรุณารับอาหารที่มีได้ไหมคะ ถ้าหากท่านผู้โดยสารแลดูไม่พอใจ ก็ก้มให้มากขึ้นและขอร้องให้ท่านช่วยกรุณารับอาหารที่มีด้วยเถิด ประมาณนั้น ซึ่งส่วนมากท่านก็จะรับอาหารไปค่ะ (ท่านอาจสงสารแอร์ตัวขาวตาดำอย่างเรา)

จำได้ค่ะว่าสมัยเทรน แหม่มออกไปเสริฟหนังสือพิมพ์ คุณครูที่เล่นเป็นผู้โดยสารแกล้งขอหนังสือพิมพ์ที่หมดไปแล้ว แหม่มก็ยิ้มแย้มตอบไปว่า หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นหมดค่ะ รับฉบับอื่นไหมคะ เรามีบลาบลาบลา แหม่มมั่นใจว่าตัวเองทำดีมากยิ้มแย้มได้ตลอดเวลา กลายเป็นว่า “ครูบอกทำผิด เพราะหนังสือพิมพ์หมดแล้วยังจะมายิ้มอีก เง้อ ครูบอกเวลาขอโทษต้องทำหน้าสำนึกผิด ห้ามยิ้มเพราะเหมือนเราไม่สำนึกค่ะ” คือ คนญี่ปุ่นเขาละเอียดอ่อนของจริง อ้อ ลืม บอกไปว่าสายการบินเขามีสอนภาษาญี่ปุ่นให้ค่ะ เพื่อให้เราสามารถให้บริการเป็นภาษาญี่ปุ่น และสามารถสื่อสารกับท่านผู้ โดยสารได้ค่ะ

แต่พอมาทางตะวันออกกลาง การบริการจะค่อนข้างตรงกันข้ามค่ะ ที่นี่เน้นความเป็นมิตรและเป็นกันเองกับผู้โดยสารค่ะ เราโดนสอนให้ชวนผู้โดยสารพูดคุย และเป็นตัวของตัวเอง เพื่อที่เราจะได้มีความสุขกับงานของเรา และสามารถทำให้ผู้โดยสารมีความสุขกับ การเดินทางกับเราด้วย ที่นี่เน้นให้ลูกเรือใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการแก้ปัญหาได้ เช่นกรณีชนิดอาหารที่เสริฟหมด เราก็ขอโทษผู้โดยสารไป แล้วบอกว่าเรามีอะไรเหลือ หากผู้โดยสารทานไม่ได้จริงๆ หรือไม่พอใจ เราก็สามารถคิดว่าจะไปขออาหารจากชั้นธุรกิจ หรือเอาอาหารลูกเรือ หรือขนมผลไม้ อะไรที่มีบนเครื่องบินก็ได้ไปให้ท่านผู้โดยสาร ตราบใดที่เราทำให้ท่านผู้โดยสารอิ่มหมีพลีมันได้ ก็เป็นอันฟิน ซึ่งในห้องเรียน ครูก็จะสอนเราให้แก้สถานการณ์บนเครื่องบินอย่างชาญฉลาดค่ะ

ตอนเทรนเราก็ผลัดกันเล่นเป็นลูกเรือบ้าง เล่นเป็นผู้โดยสารให้เพื่อนฝึกบ้างค่ะ แล้วคุณครูก็คอยจับตาดูให้คะแนนพวกเรา ตอนฝึกเสริฟรถเข็นน้ำ คนที่เล่นเป็นผู้โดยสารก็มักชอบแกล้งเพื่อน โดยสั่งค้อกเทลที่ผสมยากๆ ส่วนคนที่เล่นเป็นลูกเรือก็อาคืนเวลาตัวเองได้เล่นเป็นผู้โดยสาร สั่งเพิ่มเอา 2 แก้วเลย แถมสั่งอันที่ยากกว่าอีก ฮากันทั้งห้อง มีเพื่อนตื่นเต้นจัดจะชง bloody mary หยิบกล่องน้ำมะเขือเทศขึ้นมา กระเฉาะใส่ศรีษะเพื่อนซะงั้น เทรนไปขำกันไป

หลังเทรน service เสร็จ เราก็มีคลาสเรียนภาษาอาราบิก ซึ่งเป็นภาษาประจำชาติของที่นี่และวัฒนธรรมของ ชาวมุสลิมค่ะ เพื่อให้ได้บรรยากาศคุณครูก็เลยใช่ชุดคลุมของผู้ชายชาวอาราบิก ที่เราเรียกกันว่า dishdasha หรือ Kandura มาสอนค่ะ สารภาพตามตรงเลยว่าวันนั้นเรียนทั้งการนับตัวเลข คำทักทาย และ คำที่มักใช้ในชีวิตประจำวันไปมากมาย แต่แหม่มจำอะไรไม่ค่อยได้เลยค่ะ จำได้แต่ว่า ครูบอกว่า เวลาใส่ชุด dishdasha นี้พวกเขาจะไม่ใส่ชั้นในค่ะ สาวๆ วี้ดว้ายกันใหญ่ เขาว่าเขาต้องฝึกที่จะควบคุมตนเองค่ะ ก็เลยจะไม่ใส่ชิ้นล่างกัน คิดดู้ เรียนตั้งนาน จำได้แค่นี้ 555

ก่อนที่การเทรนจะเสร็จสิ้นลง พวกเราก็ได้งานกลุ่มมาทำค่ะ คือคุณครูให้พวกเราคิดการแสดงขึ้นมาเพื่อแสดงบนเวทีในรับประกาศณียบัตร หรือ graduation day จะร้อง เต้น เล่นละครอะไรก็ได้ แต่ขอให้มีเนื้อหาเกี่ยวกับที่พวกเราได้เรียนกันไป เห็นไหมคะ สายนี้เขาเน้นความเป็นตัวของตัวเองและความคิดสร้างสรรค์ และการทำงานหมู่คณะจริงๆ ค่ะ พวกเรา 10 กว่าชีวิตก็ช่วยกันคิดว่าจะทำอะไร มาลงตัวที่เต้นประกอบเพลง และมีแทรกละครสั้นๆ คล้ายๆ ละครบรอดเวย์เล็กๆ ค่ะ ตกเย็นหลังเลิกเรียน เราก็มาซ้อมและก็ทานข้าวเย็นเป็นหมุ่คณะกัน ซึ่งแน่นอน 2 อาทิตย์นั้น อาหารด่วนกันตาย คือ KFC และ McDonald ค่ะ ปีกที่งอกมาไม่ใช่ปีกนางฟ้าหรอกนะคะ ปีกไก่ KFC ค่ะ บ่องตง

สุดท้ายในวันจบการศึกษา ทุกความเหนื่อยล้า ความตรากตรำ ความพยายามที่ผ่านมา ก็ไม่ได้ทำให้แหม่มผิดหวังค่ะ ผลลัพธ์ที่ได้คือความภาคภูมิใจ ที่เราเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ผ่านการคัดเลือกมา ได้เห็นชื่อตัวเองอยู่บนเวทีใหญ่ ได้รับประกาศณียบัตรสมศักดิ์ศรีลูกเรือไทย ได้ชื่อว่าเป็นลูกเรือให้สายการบินหมวกแดง 5 ดาวอย่างเต็มตัว

การแสดงของพวกเราวันนั้นเป็นที่ประทับใจทั้งเหล่าผู้บริหาร และคนที่มาร่วมงานมากมาย การเทรนที่หนักหนาสาหัสได้จบลง แต่ความเป็นจริงในโลกการทำงานกำลังจะเกิดขึ้นค่ะ

ท่น แทน แท้นน และแล้วตารางบินเดือนแรกก็ออกมา แหม่มได้ทั้งหมด 5 ไฟลท์ค่ะ ตารางบินของแต่ละเดือน เราเรียกกันว่า roster ค่ะ ซึ่งก็จะมีทั้งไฟลท์ระยะบินสั้นออกจากเบสที่ดูไบไปไม่เกิน 4 ชั่วโมง พอบินไปถึง เราก็อยู่ที่สนามบินราวๆ ชั่วโมงเศษ เพื่อเตรียมความพร้อมทั้งอาหาร และความสะอาดของเครื่อง แล้วก็รับผู้โดยสารใหม่ขึ้นมาเพื่อบินกลับดูไบค่ะ ประมาณว่าเช้าไปเย็นกลับประมาณนั้นค่ะ ขึ้นอยู่กับเวลาไฟลท์ออก และระยะทางของการบิน ซึ่งส่วนมากก็คือไฟลท์ประเทศอินเดีย ปากีสถาน หรือประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาหรับนี้ เราเรียกไฟลท์สั้นๆ พวกนี้กันว่าไฟลท์ turn around ค่ะ และไฟลท์อีกแบบที่มีก็คือ ไฟลท์ระยะบินยาว 4 ชั่วโมงขึ้นไป โดยมีพักที่ต่างประเทศ จะ 1 คืน 2 คืนหรือกี่คืนก็ว่าไป แล้วค่อยบินกลับมาที่เบสที่ดูไบค่ะ ไฟลท์พวกนี้มักเป็นไฟลท์ไปยุโรป อเมริกา เอเชีย หรือ ออสเตรเลีย เราเรียกไฟลท์ยาวพวกนี้กันว่าไฟลท์ lay over เพราะต้องไปค้างคืนค่ะ

ต้องขอบอกนิดนึงค่ะ ว่าแหม่มเริ่มมาที่ดูไบวันที่ 5 เดือน พฤษภาคม ค.ศ.2005 ซึ่งก็คือ 5/5/5 แต่แหม่มฮาไม่ค่อยออกค่ะ เพราะเริ่มเข้าหน้าร้อนแล้ว อุณหภูมิภายนอกที่ตะวันออกกลางช่วงนั้น 35 องศาได้ค่ะ แล้วมันก็ร้อนขึ้นเรื่อยๆทุกๆ วัน จนแหม่มเทรนเสร็จเข้ากลางมิถุนายน อุณหภูมิก็พุ่งขึ้นไปจะ 40 องศาแล้ว เพื่อนฝรั่งชอบใจมากนอนอาบแดดที่สระในตึกกัน ส่วนแหม่มกับเพื่อนๆ สาวสิงคโปร์เดินกางร่มค่ะ ก็เวลาเดินกลางแดดมันร้อนแสบบบบ…นิค่ะ

ตอนที่จะรับตารางบินก็ยังภาวนาเลยค่ะว่า คุณพระคุณเจ้าขา ขอให้หนูได้ lay over เยอะๆ นะคะ ไม่อยากอยู่ดูไบเลย ร้อนเกิ้น ขอให้ได้ไปกรุงเทพนะ หรือถ้าไม่ได้กรุงเทพ ไปยุโรป อเมริกาก็ยังดี เพราะบินญี่ปุ่นมานานหลายปีดีดัก คุณครูค่อยๆ แจกตารางบินทีละคน ตามหมายเลขประจำตัว เพื่อนๆ ที่ได้รับตารางบินแล้วก็ตื่นเต้นดีใจกันใหญ่ บริษัทค่อนข้างใจดีค่ะ คนส่วนมากมักได้ไฟลท์กลับไปที่ประเทศตัวเอง คล้ายๆ เขาเข้าใจนะคะว่าเราจากบ้านมา เทรนเสร็จคงอยากบินกลับบ้าน ไปบอกข่าวดีพ่อกับแม่ เพื่อนๆ สิงคโปร์ทั้ง 3 คนได้ไฟลท์สิงคโปร์กันคนละไฟลท์ค่ะ

ถึงคราวแหม่มบ้างแล้ว รับตารางมา แหม่มได้มา 5 ไฟลท์ค่ะ เป็น turn around ซะ 4 อันมี lay over อยู่อันนึง เห็นแล้วน้ำตาจะไหล ไปไหนทายได้ไหมคะ กลับบ้านเก่าค่ะ ไม่ค่ะ แหม่มไม่ได้ไปกรุงเทพ lay over ไฟลท์แรกของแหม่ม คือ ไฟลท์ญี่ปุ่นค่ะ ท่าทางแหม่มจะผูกพันธ์กับญี่ปุ่นมากเกิ๊น หรือคุณครูเข้าใจผิดว่าแหม่มมาจากญี่ปุ่น ไม่ใช่เมืองไทย เง้ออ

ไฟลท์สั้นสองอันแรกเราเรียกกันว่าไฟลท์ Supy ค่ะ ย่อมาจาก supernumerary ที่แปลว่า ตัวแถม หรือตัวสำรอง ค่ะ นั่นคือ เราจะได้ขึ้นไปเรียนรู้ว่าการทำงานบนไฟลท์จริงๆ มันเหมือน หรือแตกต่างจากที่เราเรียนมาอย่างไร โดยที่เราไม่จำเป็นต้องทำงาน แต่ให้สังเกตุและเรียนรู้เอา เราจะมีสมุดบันทึกไว้ให้จด และเราจะต้องทดลองงานบางอย่าง เช่น ลองเปิด ปิด ประตูดู แล้วขอให้กัปตัน และลูกเรือบนเครื่องช่วยเป็นพี่เลี้ยง อธิบายงานและก็เซ้นต์ชื่อในสมุดให้เราค่ะ อย่างที่แหม่มเคยเล่าว่า เราบินเครื่อง 2 แบบคือ Boeing และ Airbus และเครื่องทั้งสองแบบ ก็มีลักษณะแตกต่างกัน แหม่มเลยมีไฟลท์ Supy 2 ไฟลท์ค่ะ คือไฟลท์นึง ได้บินเครื่อง Airbus ไปเมืองดามัสกัส ประเทศซีเรีย และอีกไฟลท์นึง เป็น Supy บินเครื่อง Boeing ไปกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ค่ะ และไฟลท์นี้ก็โชคดีสุดๆ ได้บินกับ Lynn เพื่อนสาวสิงคโปร์คนสนิทด้วย

ความพิเศษของ Supy ก็คือ เราจะมีโอกาสได้นั่งในห้องนักบินที่เรียกว่า Cockpit ในช่วงที่นำเครื่องขึ้น หรือนำเครื่องลงจอดด้วยค่ะ เขาให้นั่งเฉยๆ นะคะ ไม่ได้ให้ลองขับ 55 และอย่างเวลาเข้าไป เราก็ไม่ควรรบกวนสมาธินักบินเพราะเขาต้องติดต่อกับหอบังคับการบิน แต่ปรากฏนักบินเป็นฝ่ายชวนเราคุยค่ะ อย่างไฟลท์อียิปต์ ตอนที่เครื่องจะนำลงจอดที่ไคโร นักบินก็ชี้ชวนให้เราดูปีระมิดที่เราบินผ่านใหญ่เลย แหม่มก็เลยโชคดีได้ View from the top ของแท้เลยค่ะ เสียดายปิระมิดอยู่ไกล ถ่ายมามองไม่เห็นอะไรเลย ดูรูปกรุงไคโรฝุ่นตลบไปแทนละกันนะคะ อิอิ

และถึงแม้ Supy จะไม่จำเป็นต้องทำงาน เพราะเขาแค่ให้มาสังเกตุการณ์ และทำความคุ้นเคยกับชนิดของเครื่องบิน แต่ไฟลท์ไคโร จัดเป็นไฟลท์ที่ยุ่งมาก และตัวแหม่มเองก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยบินมาก่อน แหม่มเห็นลุกเรือยุ่งๆ กัน ก็เลยบอกลูกเรือว่าแหม่มเคยบินมา 5 ปีแล้ว ให้แหม่มออกรถเข็นอาหารได้เลย ลูกเรือขอบอกขอบใจกันใหญ่ เพราะมีตัวช่วยมาทุ่นแรง ตัวแหม่มเองพอได้ทำงาน หยิบจับนู่นนี่นั่น มันก็จะจำได้ง่ายขึ้นค่ะว่าข้าวของเครื่องใช้อยู่ที่ไหน จบไฟลท์ลูกเรือ และหัวหน้าก็เขียนสมุดบันทึกให้แหม่มดีๆ วินวินกันทั้งคู่ ต้องขอบคุณสายการบินเดิมที่สอนให้เราเป็นคนอยู่เฉยไม่เป็น ต้องหาอะไรมาทำ ขอยืนยัน ความขยันเป็นนิสัยที่ฝึกกันได้และมักให้ผลดีค่ะ

🙂 😀  😛  😆

Loading

About Post Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error

Enjoy this blog? Please spread the word :)