Portrait of pensive student carrying out test at lesson

English Test for you.

นื่องจากการทดสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษในปัจจุบันมีหลายสำนัก หลายรูปแบบ ที่วัดทักษะความสามารถที่แตกต่างกัน จะบอกว่าความเข้มข้นแตกต่างกันก็ใช่ เลยมีคำถามจากน้องๆ นักเรียน นักศึกษา หลายคนสอบถามกันมาว่า “ไม่รู้จะสอบอะไรดีระหว่าง IELTS, TOEIC หรือ TOEFL ?” อย่าเพิ่งสับสนกับชื่อเรียก เพราะทั้ง 3 การทดสอบนี้ คือ การสอบวัดระดับความสามารถทางภาษาอังกฤษที่เป็นมาตรฐาน ของมหาวิทยาลัย หรือองค์กร รวมถึงสถาบันการศึกษาต่างๆ ของโลก แต่การสอบทั้ง 3 อย่างนี้มันไม่ได้มีความเหมือนกันทั้งหมด เพราะการสอบมีข้อแตกต่างกันอยู่หลายจุด ระหว่าง IELTS, TOEIC และ TOEFL สามารถนำเอาไปใช้ประโยชน์กับอะไรได้บ้าง มีความแตกต่างกันอย่างไร เราจึงควรทำความเข้าใจกับการสอบทั้ง 3 นี้กันก่อน

IELTS

IELTS หรือชื่อเต็มว่า International English Language Testing System เป็นการร่วมมือระหว่าง The University of Cambridge ESOL Examinations , British Council และ IDP : IELTS Australia เป็นการสอบวัดระดับ “วัดผลทางภาษาอังกฤษเชิงวิชาการระดับนานาชาติ” ที่ตรงตามมาตรฐานสากล โดยครอบคลุมทั้ง 4 ทักษะ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน ภายหลังการสอบเสร็จ สามารถนำผลคะแนนสอบไปใช้ในการศึกษาต่อต่างประเทศ เช่น ใช้สำหรับศึกษาต่อในประเทศฝั่งยุโรป เช่น อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส นิวซีแลนด์ หรือออสเตรเลีย (ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษแบบ British) ทั้งระดับปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอก

นอกจากนี้ ยังใช้เพื่อการฝึกอบรมและทำงานที่ต่างประเทศ หรือเข้าทำงานในธุรกิจต่างๆ (ซึ่งจะเน้นไปในบริษัทข้ามชาติที่มาจากทางฝั่งยุโรป) ได้อีกด้วย ผลคะแนนสอบ IELTS จะประกาศลงในใบรับรองผลการสอบอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะรายงานถึงผลการสอบรวม และทักษะต่างๆ คือ Listening, Speaking, Reading และ Writing โดยผลคะแนนจะแบ่งเป็น 9 ระดับ ดังนี้

  • ระดับ 9 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเป็นเลิศ เหมือนเจ้าของภาษามากที่สุด สามารถใช้ภาษาได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ
  • ระดับ 8 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษดีมาก ซึ่งสามารถใช้ได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว แต่อาจจะมีข้อผิดพลาด และความไม่เหมาะสมบางครั้ง บางคราว ในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย
  • ระดับ 7 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษดี แต่ยังมีข้อผิดพลาดหรือเข้าใจผิดในบางครั้ง ซึ่งโดยทั่วไปถือว่าสามารถใช้ภาษาที่มีความซับซ้อนได้ดี
  • ระดับ 6 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษระดับใช้งานได้ ในสถานการณ์ที่คุ้นเคย ซึ่งรู้และเข้าใจภาษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าจะมีข้อผิดพลาดบ้าง โดยผลสอบระดับ 6.5 ขึ้นไปสามารถนำไปใช้ยื่นวีซ่า เพื่อสมัครเรียนต่อมหาวิทยาลัยในต่างประเทศได้
  • ระดับ 5 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษระดับปานกลาง ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถสื่อสารในระดับพื้นฐานที่ตนเองถนัดได้ดี เข้าใจความหมายกว้างๆ แต่ยังมีข้อผิดพลาดบ่อย ๆ
  • ระดับ 4 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างจำกัด โดยสามารถสื่อสารจำกัดเฉพาะเรื่องที่ตนเองคุ้นเคย จะมีปัญหาในการสื่อสารผ่านการแสดงความคิดเห็น และไม่สามารถใช้ภาษาที่ซับซ้อนได้
  • ระดับ 3 มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างจำกัดมาก โดยสามารถรู้และเข้าใจกับความหมายที่คุ้นเคยเท่านั้น และมีการสับสนในการสื่อสารบ่อย
  • ระดับ 2 ไม่สามารถสื่อสารแต่สามารถใช้คำศัพท์พื้นฐานได้ ซึ่งจะมีการสับสนใจการใช้ประโยค ไม่สามารถสื่อสารได้อย่างเป็นเรื่องเป็นราว ใช้ได้แค่คำศัพท์สั้นๆ ที่คุ้นเคยเท่านั้น
  • ระดับ 1 ไม่มีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษเลย ซึ่งจะไม่เข้าใจในการใช้ประโยคในการสื่อสารนอกจากคำศัพท์เล็กน้อย

แต่ถ้าใครอยากฝึกภาษาอังกฤษให้พร้อม เพื่อนำไปใช้ในการสอบไอเอล ก็ลองมาเริ่มต้นศึกษา พวกคำสันธาน หรือ Conjunction ก่อนก็ได้ ด้วยการค้นหาจากแหล่งความรู้ต่างๆ เช่น 5 คำสันธานที่ใช้บ่อยในการสอบ IELTS, 3 คำที่ควรหลีกเลี่ยงในการนำมาใช้ขึ้นประโยคของการสอบ IELTS, เพิ่มคะแนนสอบ IELTS ง่ายๆ ด้วยการใช้ IDIOMS และ 5 คำสันธานที่ใช้ในความหมายเชิงขัดแย้งหรือตรงข้าม เป็นต้น

TOEIC

TOEIC หรือชื่อทางการว่า Test of English for International Communication เป็นการสอบวัดผลทางภาษาอังกฤษ สำหรับผู้ที่มีความต้องการสมัครงานในองค์กรต่างๆ เพื่อยืนยันว่าเรานั้นสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้อย่างดี ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายหน่วยงานองค์กร รวมถึงบริษัทของต่างชาติที่ต้องการผลคะแนนโทอิค เช่น บริษัทสายการบิน ซึ่งแต่ละสายการบินก็กำหนดคะแนนขั้นต่ำของโทอิคแตกต่างกันไป แต่โดยส่วนมากจะอยู่ในระดับที่ 550 – 700 คะแนน นอกจากนี้ บริษัทต่างชาติ (หรือบริษัทไทยที่ทำการค้าติดต่อประสานงานกับต่างประเทศ) ส่วนใหญ่จะเสนอให้พนักงานได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น หรือปรับขึ้นเงินเดือนได้ จะต้องมีคะแนนการสอบโทอิคอยู่ที่ระหว่าง 500 – 600 คะแนน เป็นต้น

ซึ่งการสอบ TOEIC จะแบ่งการสอบเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ Listening & Reading test, Speaking & Writing test แต่ส่วนใหญ่แล้วเราจะนิยมไปสอบในส่วน Listening & Reading test เพราะองค์กรส่วนใหญ่จะขอผลคะแนนสอบแค่ส่วนนี้เท่านั้น โดยผลคะแนนสอบรวมจะอยู่ที่ 990 คะแนน แบ่งเป็นดังนี้

  • Listening (การฟัง) 5 – 495 คะแนน
  • Reading (การอ่าน) 5 – 495 คะแนน

ซึ่งผลคะแนนสอบ TOEIC นั้นมีอายุ 2 ปี นับจากวันที่เราสอบ บางคนอาจจะสงสัยว่า “ต้องได้คะแนนเท่าไหร่ถึงจะสอบผ่าน” คำตอบคือ “ไม่มีสอบผ่าน ไม่มีสอบตก” เพราะคะแนนที่ได้นั้น จะบ่งบอกถึงความสามารถในการใช้ภาษาของแต่ละคน และเมื่อเรานำผลคะแนนไปยื่นสมัครงาน องค์กรหรือหน่วยงานนั้นๆ ก็จะบอกเราได้เองว่า เรามีความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษระดับใดในการทำงาน ถ้าไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องการก็ไม่ผ่านประเมิน

HOTประสบการณ์สอบ New TOEIC 2020HOT

TOEFL

Test of English as a Foreign Language หรือ TOEFL คือ การสอบวัดผลภาษาอังกฤษตามมาตรฐานภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน ที่ออกแบบมาเพื่อประเมินความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ของคนที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ซึ่งถือว่า เป็นการสอบวัดระดับทางภาษาที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางมากที่สุดในโลก โดยผลคะแนน TOEFL จะสามารถบ่งบอกถึงความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษของแต่ละคน ซึ่งจะใช้เป็นหลักเกณฑ์เมื่อต้องการไปศึกษาต่อในต่างประเทศ เช่น อเมริกา อังกฤษ แคนาดา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ เป็นต้น

ทั้งนี้ข้อสอบโทเฟล จะแบ่งเป็น 2 แบบคือ TOEFL iBT (Internet-based Format หรือการสอบผ่านอินเตอร์เน็ต) และ TOEFL PBT (Paper-based หรือการใช้กระดาษในการทำข้อสอบ) ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยเรานั้นจะใช้การสอบแบบ TOEFL iBT นั่นเอง ในการสอบโทเฟลจะเป็นการทดสอบครบทุกด้าน คือ Listening, Speaking, Reading และ Writing โดยส่วนมากจะเป็นการวัดระดับการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน ในห้องเรียน หรือสถานการณ์ต่างๆ ซึ่งถือว่าคะแนนโทเฟลมีผลมากในการเลือกมหาวิทยาลัย และคณะที่จะเข้าศึกษาต่อ

ดังนั้นหากคะแนนโทเฟลอยู่ในระดับสูง โอกาสที่จะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำก็มีสูงขึ้น แต่ถ้าคะแนนอยู่ในระดับต่ำลงมาเรื่อยๆ โอกาสที่จะได้เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยชั้นนำก็ลดลงมาตามลำดับ ทั้งนี้ผลคะแนนการสอบ TOEFL ที่ดีจะอยู่ที่ประมาณ 550 คะแนน และผลคะแนนจะใช้ได้เป็นระยะเวลา 2 ปี นันตั้งแต่วันที่เราสอบนั่นเอง

TOEIC, TOEFL, IELTS มีความสำคัญต่อการทำงานอย่างไร

แน่นอนว่าการทดสอบทั้ง 3 แบบนั้น เป็นการทดสอบทางด้านภาษา ฉะนั้นจึงมีความสำคัญสำหรับผู้ที่สนใจทำงาน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษา ไม่ว่าจะเป็นงานการบิน งานโรงแรม งานท่องเที่ยว การทำงานในบริษัทข้ามชาติ ที่ต้องสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ ผลสอบเหล่านี้จะช่วยยืนยันว่า คุณมีความสามารถในการใช้ภาษา เมื่อคุณยื่นผลการสอบประกอบการสมัครงาน ก็จะช่วยให้ Resume ของคุณน่าสนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ผลการสอบวัดระดับภาษา ยังช่วยปรับเงินเดือน เลื่อนตำแหน่ง หรือช่วยให้คุณมีโอกาสได้ไปร่วมการประชุม อบรม สัมนาในต่างประเทศ ในนามบริษัท (กรณีที่บริษัทสนับสนุน) อีกด้วย

ทั้งนี้เกณฑ์มาตรฐานที่ได้รับการยอมรับ หรือคะแนนที่ถือว่าผ่าน ส่วนใหญ่ทั้งในการศึกษาต่อต่างประเทศ และในการทำงานจะมีเกณฑ์ประมาณนี้

คะแนน TOEIC ที่ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานคือ = โดยปกติไม่ได้มีหลักเกณฑ์ตายตัวว่า จะต้องได้กี่คะแนนแต่งานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชนบางแห่ง จะตั้งเกณฑ์ไว้ตั้งแต่ 450 / 550 / 650 ซึ่งต้องดูกฎเกณฑ์ของแต่ละที่ประกอบ สำหรับงานด้านสายการบินจะอยู่ระหว่าง 600 – 750

คะแนน TOEFL ที่ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานคือ = ส่วนใหญ่ตามสถาบันการศึกษา หรือบริษัทเอกชนต่างๆ จะกำหนดว่าต้องได้คะแนนประมาณ 79/120 (แบบใหม่) หรือ 550/677 (แบบเก่า)

คะแนน IELTS ที่ถือว่าผ่านเกณฑ์มาตรฐานคือ = ด้วยความที่ IELTS แบ่งเป็น 9 ระดับซึ่งระดับที่ถือว่าใช้ได้ ผ่านเกณฑ์คือ 5.5 หรือ 6.5 ขึ้นไป (ขึ้นอยู่กับสถานศึกษาหรือแต่ละบริษัท)

เพราะฉะนั้น ถ้าหากคุณมีความสนใจในการทำงานร่วมกับบริษัทต่างชาติ ต้องการปรับเลื่อนเงินเดือน หรือต้องการสร้างความน่าเชื่อถือทางภาษา ก็สามารถไปสมัครทดสอบความสามารถทางภาษาได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วผลการสอบจะสามารถใช้ได้ภายใน 2 ปีเท่านั้นหากเกินกว่านั้น และคุณจำเป็นต้องใช้ ก็ต้องสอบใหม่อีกครั้งเท่านั้น

THAI-TEP

THAI-TEP ย่อมาจากคำว่า Thai Airways Internaltional Public Company Limited (THAI) Test of English Proficiency (TEP) หมายถึง แบบทดสอบศักยภาพทางการใช้ภาษาอังกฤษ ของ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ที่ได้รับการพัฒนาและผ่านการวิเคราะห์คุณภาพข้อสอบตามหลักมาตรฐานทางวิชาการโดยนักวิชาการสถิติ จึงมีความน่าเชื่อถือในแง่ของความเที่ยง (Reliability) และความตรง (Validity)

ชุดข้อสอบ THAI-TEP แต่ละชุดแบ่งออกเป็น 2 ภาค (Sections) ประกอบด้วยคำถามทั้งหมดจำนวน 100 ข้อ คะแนนเต็ม 100 คะแนน (points)

ภาคแรก : การฟัง (Listening) จำนวน 50 ข้อ (50 คะแนน)

  • ส่วนที่ 1 : รูปภาพ (Photographs) จำนวน 5 ข้อ (5 คะแนน)
  • ส่วนที่ 2 : ถาม-ตอบ (Question-Response) จำนวน 15 ข้อ (15 คะแนน)
  • ส่วนที่ 3 : บทสนทนาอย่างสั้น (Short Conversations) จำนวน 15 ข้อ (15 คะแนน)
  • ส่วนที่ 4 : การบรรยายอย่างสั้น (Short Talks) จำนวน 15 ข้อ (15 คะแนน)

ภาคสอง : การอ่าน (Reading) จำนวน 50 ข้อ (50 คะแนน)

  • ส่วนที่ 5 : เติมคำในประโยคให้สมบูรณ์ (Incomplete Sentences) จำนวน 20 ข้อ (20 คะแนน)
  • ส่วนที่ 6 : เติมคำให้ได้ใจความสมบูรณ์ (Text Completion) จำนวน 6 ข้อ (6 คะแนน)
  • ส่วนที่ 7 : อ่านจับใจความเรื่องเดี่ยว (Single Passages) จำนวน 14 ข้อ (14 คะแนน)
  • ส่วนที่ 8 : อ่านจับใจความเรื่องคู่ (Double Passages) จำนวน 10 ข้อ (10 คะแนน)

ระดับคะแนนรวม (total scores) ที่ได้รับจากทั้ง 2 ส่วน จะถูกนำมากำหนดเกณฑ์วัดระดับความสามารถ (proficiency level) ทางการใช้ภาษาอังกฤษ ที่สามารถนำไปใช้ประกอบในการสมัครเข้าร่วมงานกับองค์กรที่รับรองผลการสอบโดยตรง โดยเฉพาะการสมัครเข้าร่วมงานกับบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ เช่น ไทยสมายล์

รายละเอียดเพิ่มเติม : THAI-TEP

นอกจากภาษาอังกฤษแล้ว ถ้าท่านมีความสามารถในภาษาที่สามด้วย เช่น ภาษาจีน (แมนดาริน) ภาษาเกาหลี ภาษาญี่ปุ่น หรือภาษาทางฝั่งยุโรป เช่น เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน รัสเซีย ฯลฯ หรือแม้แต่ภาษาในอาเซียนใกล้บ้านเรา ภาษามาเลย์ อินโดนีเซีย พม่า เขมร เวียดนาม ลาว ถ้ามีใบรับรองการทดสอบทางภาษาด้วยก็จะยิ่งได้เปรียบกว่าคนอื่นๆ เตรียมตัวกันไว้แต่เนิ่นๆ เถอะครับ

Loading

About Post Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error

Enjoy this blog? Please spread the word :)