ประสบการณ์สมัครงานที่ Bamboo Airways

แบมบูแอร์เวส์ (Bamboo Airways) เป็นสายการบินใหม่ของเวียดนาม สายการบินเริ่มดำเนินธุรกิจในปี 2562 นี้ โดยมีฐานการบินหลักที่ กวีเญิน (เวียดนาม: Quy Nhơn) เป็นเมืองชายฝั่งทะเล และเมืองหลักของจังหวัดบิ่ญดิ่ญ อยู่ทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม โดยมีสถานีหลักอยู่ที่กรุงฮานอย โฮจิมินห์ และดานัง โดยจะเริ่มจากการให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศ ก่อนจะขยายการให้บริการไปยังประเทศอื่นๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้เครื่องบินเช่าจากผู้ให้เช่ารายอื่น ก่อนที่ Airbus จะส่งมอบเครื่องบินรุ่น A321neo จำนวน 24 ลำ สำหรับการดำเนินการในอนาคต โดยมีเป้าหมายสำคัญที่จะมุ่งเน้นการบินไปยังตลาดต่างประเทศ ที่จะมาเที่ยวยังสถานที่พักผ่อนหย่อนใจในเวียดนาม รวมทั้งเส้นทางในประเทศอีกหลายเส้นทาง

Bamboo Airways Batch09 Hanoi University

วันนี้ขอเอาประสบการณ์ของลูกเรือใหม่ชาวไทยหนุ่ม-สาว 3 คน ที่สามารถพิชิตติดปีก Bamboo Cabin Crew ได้ใหม่หมาดๆ และได้เล่าประสบการณ์ผ่านทางหน้าเฟซบุ๊คและทวีตเตอร์ สาวคนแรกคือคุณ N’NAMTAN และอีกคนคุณมะนาว Naranoun Kijworawichien สาวผู้เคยติดปีกที่ British Airways มาก่อนแต่อยากมาทำงานใกล้บ้าน กับอีกคนหนุ่มใหญ่วัยเฉียดเส้นยาแดง 30 ปี (ที่คิดล่าปีกตอนอายุมากไปหน่อย สายการบินในไทยไม่รับเพราะอายุเกิน) คือคุณ Mr.Smile 🙂 @KHOMKRITLIN คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อรุ่นน้องๆ ที่มีความฝัน และเป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้แสวงหาโอกาสครับ ติดตามกันเลย

ทางบริษัทแบมบูแอร์เวส์ ได้ประกาศรับสมัครลูกเรือใหม่จำนวนมาก (ข่าวรับสมัครที่ผ่านมา) ซึ่งจะขอนำรีวิวการสมัครของสาว-หนุ่มไทย ที่ไปร่วมกิจกรรมสัมภาษณ์ในรอบที่ 9 สถานที่ มหาวิทยาลัยฮานอย เวียดนาม มาฝากกัน โดยมีผู้ได้รับเทียบเชิญ (Invited) จำนวนทั้งสิ้น 900 คน แต่วันที่ไปสัมภาษณ์จริงมีประมาณ 700-800 คน มีคนไทยเยอะสุด เกาหลีเยอะมาก คนเวียดนามเองกลับน้อยกว่า

คุณสมบัติเบื้องต้นของผู้สมัคร

  • All nationalities is welcome;
  • Male: 170 cm or above;
  • Female: 160 cm or above;
  • Minimum arm reach of 212 cm (On tip toes);
  • Education: High school graduated or above;
  • Age limitation: 18 – 30;
  • Fluency in written and spoken English. Minimum TOEIC 500 required;
  • Second foreign language is the advantage;
  • Outgoing personality with good interpersonal skills is a plus too;
  • Medically fit to meet cabin crew requirements.

การสมัครจะยื่นสมัครผ่านแบบฟอร์มออนไลน์ ตามรอบ (Batch) และเมืองที่กำหนดสอบสัมภาษณ์ เพื่อรับเทียบเชิญ (Invited) ในการเดินทางไปสัมภาษณ์ ซึ่งในบทความนี้เอาข้อมูลจากคุณมะนาว และคุณคมกริช มาเรียบเรียงใหม่เพื่อให้เห็นภาพรวมกันนะครับ

การติดตามข่าวสารการสมัครของ Bamboo Airways ได้ที่ FB : Talent Bamboo Airways และเพจนี้ก็จะเป็นช่องทางที่จะประกาศว่า เราผ่านหรือไม่ผ่านถ้าเข้าไปถึงรอบไฟนอล ส่วนการกรอกสมัครก็ไม่ได้มีขั้นตอนอะไรมากมาย ทำตามแบบฟอร์มนั้นให้ครบถ้วน คลิกส่งแล้วก็รอเทียบเชิญ เขาจะส่งอินไวท์มาให้ประมาณประมาณ 3 – 7 ก่อนวันสัมภาษณ์ ซึ่งในอินไวท์น์ก็จะบอกสถานที่ วันเวลาที่สมัคร และเดรสโค้ดต่างๆ เอกสารที่ต้องเตรียมไป และที่สำคัญ คือ เขาจะบอกหมายเลขสมัคร (ID) ซึ่งเราจะต้องจำ (พริ้นท์หรือเซฟไว้ในมือถือก็ได้) และนำไปลงทะเบียนในวันที่รับสมัคร

เทคนิคการสมัครออนไลน์เพื่อให้ได้เทียบเชิญ

  • กรอกให้ครบทุกช่อง อย่าเว้นให้มีช่องว่าง
  • ชื่อ-นามสกุลของเรา (ให้ตรงกับในพาสปอร์ต) อีเมล ต้องแน่ใจว่าสะกดถูกต้องนะ และเบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้สะดวกที่สุด (ควรมีเบอร์เปิด Roaming ไว้นะครับ)
  • ข้อมูลที่กรอกต้องเป็นความจริง และเป็นปัจจุบันที่สุด
  • รีบสมัครเพราะจะได้เลขลำดับต้นๆ และเลขนี้ก็จะมีความสำคัญและเป็นประโยชน์มากๆ ในวันสัมภาษณ์

เชื่อว่าถ้ากรอกครบตามนี้ยังไงก็ได้อินไวท์ 100% แต่เขาก็คงไม่ได้แจกอินไวท์ให้ทุกคนนะ เพราะเพื่อนที่รู้จักหลายคนสมัครไป 2 รอบก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้อินไวท์เลย จนมาได้อินไวท์ในแบชที่ 9 และบินไปสมัครพร้อมกัน (เพราะฉะนั้นถ้าใครไม่ได้อินไวท์อย่าเพิ่งท้อนะ สมัครมันทุกรอบ มันต้องได้สักรอบแหละ) อ๋อ อีกอย่างหนึ่งที่ ผู้ชายชอบสงสัยกันคือรูปถ่ายที่ต้องแนบไปในการสมัครต้องใช้อะไร รูปแบบไหน เอาจริงก็คือรูปที่เราไปถ่ายมากันนั้นแหละ จะใส่สูทหรือไม่ใส่สูทก็ได้หมดไม่มีปัญหาเลย ข้างล่างคือภาพตัวอย่าง

17 เมษายน 2562 ก็ได้รับเทียบเชิญ invitation letter (จะได้ก่อนวันสอบสัมภาษณ์ประมาณ 3-7 วัน) โดยแจ้งให้เตรียมเอกสารดังนี้

  • ใบสมัครตัวจริงที่เราสมัครออนไลน์ (ดาวน์โหลดจากเว็บ โดยการปริ้นท์เป็นไฟล์ PDF ออกมาเลย)
  • Resume ที่บอกเรื่องราวของเราทั้งด้านการเรียน ประสบการณ์ต่างๆ การฝึกงาน ความสามารถพิเศษ ฯลฯ
  • สำเนาใบวุฒิการศึกษา ทรานสคริปต์ (ให้เห็นผลการเรียนเลยยิ่งดี มีประโยชน์ เป็นภาษาอังกฤษด้วยนะ)
  • สำเนาผลการทดสอบภาษาอังกฤษ TOIEC (และนำตัวจริงไปด้วย กรรมการบางคนขอดู)
  • ภาพถ่ายครึ่งตัว 2 รูป/เต็มตัว 1 รูป (ภาพที่ใช้ในการสมัครออนไลน์นั่นแหละ หรือจะถ่ายใหม่ให้สวยกว่าเดิมก็ได้)

คือเอาแบบจริงจังมีอะไร เตรียมเอาไปให้หมด เผื่อเขาเรียกหาเราจะได้มีให้เขาเลย เพราะกรรมการแต่ละคนก็เรียกไม่เหมือนกัน เตรียมไปทั้งตัวจริงและสำเนาดีที่สุด ทั้งทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน พาสสปอร์ต ใบผ่านเกณฑ์ทหาร ผลการทดสอบภาษาทั้ง TOIEC และใบรับรองผลสอบภาษาที่สาม (ถ้ามี) ใบสำเสร็จการศึกษา ใบปริญญา คือเอกสารทุกอย่างที่จำเป็นต้องใช้สมัครงานเราต้องเตรียมไปให้หมด

การแต่งกายของผู้สมัคร

ชาย

  • กางเกงสเลคสีเข้ม จะกรมท่าหรือดำก็ได้ตามสะดวก ถ้าใส่สีดำเพราะว่ามันดูสุภาพ และดู professional มากกว่า
  • เสื้อเชิตแขนสั้นสีขาว ใส่พอดีตัวให้ดูดี ไม่เล็กไม่ใหญ่เกินไป และที่สำคัญรีดให้เรียบ ให้เนี๊ยบ
  • เนคไท ใส่สีดำ สีแดง สีเขียว ก็ตามชอบ แต่ก็เห็นทั้งคนใส่และไม่ใส่ แต่แนะนำใส่ไปเหอะ เพราะผู้สมัครชายที่เข้ารอบไฟนอล ใส่กันเกือบทุกคน
  • ร้องเท้าคัชชูสีดำ ขัดให้เงา เช็ดให้สะอาด
  • เข้มขัดหนังสีดำ

ผู้ชายก็แต่งหน้าได้นะ แต่งให้ดูดีกลบรอยหลุมสิว แผลเป็นต่างๆ (ถ้ามี) ทำให้ดูเหมือนไม่แต่งนั่นแหละ ไม่เอาหน้าลอย หน้าเกาหลี ไม่ปัดแก้มแดง ปากสีธรรมชาติ ลิปมันธรรมดาก็พอแล้ว ทรงผม เช็ตให้เรียบร้อยและดูดีและเข้ากับตัวเราแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานว่าตอนนี้ไปสมัครงานนะ คำแนะนำคือ ดูทรงผมสจ๊วตของสายการบินนี้นั่นแหละพยายามทำให้เหมือน

เนื่องจากใส่แขนสั้น ก็ทาโลชั่นแขนเสียด้วยนะ เพราะแอร์ที่นั่นเย็นมาก สีผิวจริงๆ แล้วสายนี้ได้หมดเลย จะสีแทน จะสีขาว คือขอดูดีและมั่นใจในสีผิวของตัวเอง เพราะคนที่เข้าไฟนอลก็มีตั้งแต่ผิวสีแทนน้ำผึ้งไปจนถึงขาวมากๆ

ผู้หญิง

  • เสื้อสีขาวแขนสั้น รูปทรงแบบไหนก็ได้
  • กระโปรงสีดำหรือสีโทนเข้มๆ (เหนือเข่า 5 เซนติเมตร)
  • แต่งหน้าจัดเต็มกันไปเลยดูสมวัย (เน้นสดใสสมวัย จะเกาหลีก็ได้นะ)
  • ไม่ใส่ถุงน่อง
  • เกล้าผม หรือรวบหางม้าให้เรียบร้อย ผมสั้นก็ได้แต่แต่งทรงให้ดีๆ อย่าให้มองเป็นหัวฟูก็แล้วกัน

Step 1 ลงทะเบียนรับหมายเลขเพื่อเข้างาน

21 เมษายน 2562 สถานที่จัดสอนสัมภาษณ์รอบนี้คือที่ Hanoi University จัดในหอประชุมใหญ่ของทางมหาลัย ในตารางกำหนดเวลาเริ่มคือ 8 โมงเช้า แต่ก็ไปถึงที่นั้นตั้งแต่ 7 โมงเช้า ไปถึงมีคนต่อแถวเยอะแยะแล้วเชียว เราก็ไปต่อแถวเพื่อลงทะเบียน แนะนำให้ไปถึงก่อนเวลานัดก่อน 1 ชม หรืออย่างน้อย 30 นาที

ก่อนลงทะเบียนก็จะมีคนจากสายการบินไม่ว่าจะเป็นพี่แอร์ เพอเซอร์ และพนักงานของสายการบิน มาแจกเอกสารให้เรากรอก 1 แผ่น ก็กรอก ชื่อ-สกุล แล้วก็หมายเลขที่เราได้จากการอินไวท์ลงไปให้ถูกต้อง

พอเข้ามาถึงจุดลงทะเบียนเสร็จขั้นตอนก็ไม่ได้อะไรมากมาย แจ้งหมายเลขที่เราได้จากอินไวท์ให้เจ้าหน้าที่ดู โดยการโชว์อีเมลที่ได้มา (ในมือถือ) หรือจะปริ้นมาก็ได้ เขาก็จะหาสติ๊กเกอร์ที่เป็นหมายเลขของเราให้ แล้วติดตรงหน้าอกด้านซ้ายให้เราด้วย เป็นอันเสร็จเรียบร้อยของขั้นตอนลงทะเบียน (ใครที่ไปแบบ Walk-in ไม่มีหมายเลข ID คือไม่ได้เข้ารายงานตัวนะ รอสมัครใหม่ในรอบหน้า ส่วนใครที่ได้อินไวท์และไม่ได้ไปร่วม เขาก็ไม่ใจร้ายนะ สมัครใหม่รอบหน้าได้เหมือนกัน)

พอทำการลงทะเบียนได้หมายเลขเสร็จ ก็เข้าไปนั่งรอข้างในหอประชุม คราวๆ เขาน่าจะแจกอินไวท์ประมาณ 900 คนเพราะหอประชุมมีคนนั่งเต็มหมดเลย และมีบางส่วนที่นั่งข้างนอกหอประชุมด้วย ไม่ได้นั่งเรียงตามหมายเลขนะครับ มาก่อนเลือกที่นั่งก่อน จากที่ดูคราวๆ ก็น่าจะมีทั้งคนเวียดนาม ไทย และพี่เกาหลีนี่มาเยอะสุด เจอพี่แก่ทุกสนามจริงๆ แต่เรายิ้มสยามสู้ หาได้กลัวไม่ (555)

พอทุกคนเข้าห้องประชุมเสร็จ ก็ได้เวลาอันสมควรมีประธานในพิธี (CEO ของบริษัท) มากล่าวเปิดงานและกล่าวต้อนรับทุกคนที่มาในวันนี้ แล้วตามด้วยเปิด Presentation แนำนำสายการบิน วิสัยทัศน์ต่างๆ และขั้นตอนในการสมัครต่างๆ ของรอบนี้ (ควรตั้งใจดู เพราะมักจะมีคำถามในขั้นตอนต่อไปเสมอๆ นะ) พร้อมทั้งแนะนำกรรมการที่จะมาคัดเลือกในวันนี้ว่า เป็นใครมาจากแผนกอะไร ยังไงบ้าง ซึ่งเราก็จำได้ไม่หมดหรอก 555 เยอะเกินเบลอ

Step 2 ชั่งน้ำหนักและวัดส่วนสูง

พอพิธีเปิดเสร็จเรียบร้อย ก็เริ่มขั้นตอนการรับสมัครเพื่อเข้าสัมภาษณ์กันเลย ก็ตื่นเต้นดีนะ เอาจริงคือ กลัวฟังภาษาอังกฤษของเขาไม่รู้เรื่อง เอาแล้วๆ โดยเขาจะประกาศให้ออกไปนอกหอประชุมก่อน เพื่อวัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก ประกาศลำดับตามหมายเลขที่เราได้จากอินไวท์ (เลขนี้สำคัญมากจริงๆ ถึงบอกเวลาเปิดรับสมัครให้รีบสมัครทันที มันบ่งบอกอะไรได้หลายๆ อย่างเลยนะ เช่น ความสนใจในบริษัทนี้ งานนี้จริงๆ) เรียกที่ละ 100 หมายเลขให้ออกไป

เราก็หยิบใบที่เขาแจกให้เรากรอกตอนแรก ก่อนลงทะเบียนให้กับคนที่จะบันทึกพร้อมเอกสารต่างๆ ที่เราเตรียมไปให้เขา (ใบกรอกชื่อ หมายเลขที่แจกก่อนลงทะเบียน Application From, Resume รูปถ่ายเต็มตัว ครึ่งตัวแนบไป สำเนา TOIEC สำเนาทะเบียนผลการเรียน สำเนาปริญญาบัตร)

แล้วไปต่อแถวข้างนอกกัน เพื่อรอวัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก เมื่อถึงคิวเราก็ยื่นเอกสารให้กับเจ้าหน้าที่ที่นั่งที่โต๊ะ และถอดรองเท้าเพื่อขึ้นเครื่องชั่งอัตโนมัติ ที่มีทั้งวัดส่วนสูงและชั่งน้ำหนักในเครื่องเดี่ยวกัน พร้อมกับจอเล็กๆ โชว์ค่า BMI คนที่วัดให้เราก็จะเป็นลูกเรือของเขาเลย การวัดที่เคยทำมาก่อนหน้าที่ลงใน Resume ว่า 171-172 cm. พอขึ้นเครื่องวัดของที่นี่ผลความสูงออกมาสูง 170 cm. พอดี เกือบตกรอบนี้ 555 และค่า BMI อยู่ที่ประมาณ 23 กว่า เหมือนเขาจะมีกำหนดค่า BMI  ของผู้ชายเขากำหนดค่าที่ 22-25 ถ้าน้อยกว่าและมากกว่านี้คือไม่ผ่านรอบต่อไป ส่วนของผู้หญิงจำไม่ได้ล่ะ (ความสูงถ้าเห็นว่าขาดไปมากจะให้ไปวัดใหม่ ถ้าไม่ถึงเกิน 2 เซนติเมตร จะปัดตกไปเลย)

คนตกรอบนี้ไม่ค่อยเยอะนะ เพราะฉะนั้นลองวัดกันก่อนไปสมัครก็ดี พอเสร็จเจ้าหน้าที่ก็จะบันทึกส่วนสูง น้ำหนัก ค่า BMI ของเราลงในเอกสารที่เรายืนไปให้เขา เสร็จแล้วก็คืนมาให้เราพร้อม สำเนา TOIEC สำเนาทะเบียนผลการเรียน สำเนาปริญญาบัตรให้เราด้วย บอกว่าอันนี้ยังไม่ต้องใช้เราก็เก็บเข้ากระเป๋า

พอเสร็จก็จะมีลูกเรือมาเก็บเอกสารที่เรากรอกชื่อ-นามสกุลไป และให้เราเข้าไปนั่งรอในหอประชุมเหมือนเดิม เพื่อรอสัมภาษณ์รอบแรกกับกรรมการ

Step 3 1st interview

ก็จะมีคนรันคิวให้เราเข้าสัมภาษณ์ โดยจะแจกเอกสารที่เรากรอกไปรอบแรกคืนมาให้ เพื่อนำไปยื่นให้กรรมการดู โดยสัมภาษณ์กับกรรมการชุดที่โต๊ะว่าง ก็เดินเข้าไปเลย กรรรมการจะนั่งเป็นคู่ๆ ประมาณ 4-6 โต๊ะ (จำไม่ค่อยได้) และที่เด็ดไปกว่านั้นคือ มันเป็นการสัมภาณษ์ตรงหน้าเวทีในหอประชุมเลย คนที่นั่งรออยู่ด้านหลังก็จะเห็นเลยว่า เราพูดอะไรไปบ้าง อายมากตอนนั้น ดูตามรูปข้างล่างเลย กรรมการนั่งเป็นคู่ (แถวหน้าแถวแรก) กรรมการคู่ไหนว่างถึงคิวเราก็เข้าไปหาที่โต๊ะเขาเลย

พอถึงคิว เราก็เดินเขาไปหากรรมการพร้อมกล่าวสวัสดี แต่ๆ… กรรมการบอกยืนรอก่อน ฉันขอทำเอกสารของคนก่อนให้เสร็จก่อน เราก็ยืนยิ้มรอ (ยิ้มเจื่อนๆ ไม่รู้จะทำไรเขิลๆ เพื่อนๆ ที่จับจองมองเรามันเยอะเหลือเกิน 555) พอกรรมการเสร็จงานแล้ว เราก็สวัสดีอีกครั้ง แล้วยื่นเอกสารให้ กรรมการก็ถามหาแล้วผลสอบ TOIEC มีไหน อ้าว! เราก็บอกใปว่าเจ้าหน้าที่ชั่งน้ำหนักบอกว่า ยังไม่ต้องใช้ขั้นตอนนี้ แต่เก็บเอาไว้ในกระเป๋าที่นั่ง ถ้าต้องการเดี่ยวไปเอามาให้ตอนนี้เลย เขาก็บอกว่าโอเค เราก็รีบวิ่งไปเอาละมายื่นให้เขา แล้วหลังจากนั้นกรรมการทั้งสองก็จะเริ่มสัมภาษณ์

และนี่คือคำถามที่เจอในรอบแรก (รวมของเพื่อนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่รวมมาไว้ให้เป็นตัวอย่าง)

  • ให้แนะนำตัวเอง
  • ทำไมไม่สมัครสายการบินที่ประเทศไทย
  • อายุเยอะแล้วจะทำงานไหวหรอ (ผมอายุ 29 ปี 3 เดือนในวันสัมภาษณ์ เฉียดเส้นนิดเดียวเอง)
  • ทำไมต้อง Bamboo Airways
  • รู้อะไรเกี่ยวกับสายการบินเข้าบ้าง (นี่ไง มาจากพรีเซนท์เมื่อกี้เลย)
  • ก่อนมาสมัครเตรียมตัวยังไงบ้าง
  • รู้ไหมว่าเงินเดือนสายการบินเราเท่าไหร่
  • ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่
  • ทำไมอยากเป็น Cabin Crew
  • ไม่เคยทำงาน Customer Service จะทำได้ไหม
  • เคยอยู่ไกลบ้านไหม จะอยู่ได้ไหม
  • พร้อมจะย้ายมาอยู่เวียดนามไหม
  • ถ้าไม่มี Accommodation (ที่พัก) ให้จะอยู่ได้ไหม จะทำยังไง
  • ถ้ามีลูกเรือไทย กับ ลูกเรือเวียดนาม มีเรื่องกัน จะเข้าข้างฝ่ายไหน
  • ทรงผมที่ทำอยู่ตอนนี้ ไม่ใช่ทรงผมของ Bamboo style นะ จะเปลี่ยนได้ไหม หรือ พร้อมจะเปลี่ยนไหม?

คำถามของเพื่อนที่เราถามๆ มาจากรอบเดียวกัน

  • เวลาว่างทำไรบ้าง
  • มีความสามารถพิเศษอะไร
  • เคยเป็นลูกเรือมาก่อนหรือเปล่า
  • เคยลองสมัครที่ไทยมาก่อนบ้างไหม
  • คาดหวังจะได้อะไรจาก Bamboo Airways
  • เล่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมาให้ฟังหน่อย
  • รู้อะไรเกี่ยวกับสายการบินของเราบ้าง
  • รู้สโลแกนของสายการบิน แล้วรู้ความหมายไหมว่าคืออะไร
  • คนที่ได้ภาษาที่ 3 ให้แนะนำตัวด้วยภาษาที่ 3 นิดหน่อย
  • ถ้าให้เงินเดือนเท่ากับที่ทำงานเดิมจะทำไหม

ก็ถามค่อนข้างเยอะประมาณ 10-15 นาที พอกรรมการถามจนพอใจ ก็จะบอกให้เราเดินให้ดูจนพอใจ เดินไปด้วย ยิ้มไปด้วย แล้วเขาก็บอกให้ผ่านรอบนี้นะ (คือตอนนั้นแบบดีใจมากๆ แต่ก็ต้องเก็บอาการ 55 ยิ้มจนแก้มนี้ตึงไปหมดละ) แล้วรอบต่อไปก็ทำให้เต็มที่นะ จากนั้นก็กล่าวขอบคุณเขาแล้วออกมานั่งรอเพื่อเข้าสัมภาษณ์รอบไฟนอล แต่คนตกรอบนี้เยอะเหมือนกันแบบครึ่งต่อครึ่งเลยก็ว่าได้ ตอนนั่งรอก็เจอคนไทยเยอะเหมือนกันที่ผ่านเข้าไฟนอล เป๊ะปังกันทุกคน เรื่องกรุมมิ่งนี่ชนะเลิศทุกขาติในโลกเลยก็ว่าได้ (ถ้ากรรมการบอกไม่ผ่านตรงนี้ก็กลับบ้านได้เลย)

Step 4 final interview

ออกมานั่งรอสักพักก็มีลูกเรือของแบมบู พาเราขึ้นไปสัมภาษณ์กับกรรมการที่ชั้น 4 ของหอประชุมแห่งนี้เลย โดยห้องต่างๆ จะเป็นผู้บริหาร และหัวหน้าแผนกต่างๆ มาสัมภาษณ์เรา ซึ่งพวกเขามีอำนาจในการตัดสินใจว่า จะรับเราทำงานกับสายการบินเขาหรือเปล่า โดยห้องสัมภาษณ์ไฟนอลจะมี ประมาณ 3-4 ห้อง มีกรรมการห้องละ 2 คน ให้เข้าสัมภาษณ์ทีละ 2-3 คน (แล้วแต่ขนาดห้อง) วันนั้นได้เข้าสอบพร้อมกับ Ex-crew สายการบินคนหนึ่งเป็นชาวพม่า ผู้ชายเหมือนกัน

ก่อนเข้าห้องสอบจะมีเพอเซอร์สายการบินแนะนำว่า ต้องทำท่าสายการบินนะ (การทำท่าทำความเคารพอย่างไร) วิธีการเดิน Cat walk บนพรมแดงเข้าไปถึงหน้ากรรมการ จากนั้นก็ปล่อยให้เข้าไปพร้อมกับอีกคน เดินรันเวย์บนพรมแดง ทำความเคารพ แล้วแนะนำตนเองทีละคน (โชคดีที่ได้กรรมการใจดี และคนที่สัมภาษณ์ในรอบนี้เพิ่งมารู้ทีหลังเขาคือ Cabin Crew Manager ของสายการบิน) กรรมการจะผลัดกันถามระหว่างผู้สมัครทั้ง 2-3 คนนั้นสลับกันไปมา อาจเป็นคำถามเดียวกันหรือคำถามใหม่เปลี่ยนไปบ้าง ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที

คำถามที่เจอรอบไฟนอล

  • ให้แนะนำตัวเองคนละ 1 นาที
  • ไม่เคยทำงาน Customer Service ละจะมาเป็น Cabin Crew ได้ไง
  • มาฮานอยกี่วัน
  • เป็นตำรวจ ทำหน้าที่อะไรบ้าง (อาชีพเดิมของผมก่อนลาออกมาล่าฝันติดปีก)
  • มีอะไรจะถามอีกไหม
  • รู้จักงาน Cabin Crew มากแค่ไหน
  • เคย Research เกี่ยวกับงาน Cabin Crew บ้างไหม ทำอะไรบ้าง

คำถามของ Ex-crew ที่เข้าพร้อมกัน

  • ทำไมถึงย้ายสายการบินล่ะ
  • อายุเยอะละนะ จะทำงานกับเด็กๆ ได้หรอ
  • มีความรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับ Safety การแก้ไขสถานการณ์ต่างๆ
  • มีความรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับเครื่องบินแต่ละรุ่น
  • ปกติทำงานอะไรบ้าง ถ้าไม่ได้ไปบิน

คำถามที่ได้จากเพื่อนคนไทยที่ไปสมัครพร้อมกัน

  • ทำไมสายการบินต้องเลือกคุณ
  • เล่าประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา
  • ทำไมไม่ทำงานที่ไทย หรือกับการบินไทย (ถ้าเขารู้ว่ามาจากไหนก็จะเปลี่ยนประเทศ)
  • ถ้าต้องอยู่ที่นีคิดว่าจะปรับตัวอย่างไร
  • การจราจรที่นี่แย่กว่าไทยอีกนะ โอเคหรือ
  • รู้ไหมว่าเรามีรูทบินไปที่ไหนบ้าง
  • ทำไมมาสมัครกับสายการบินนี้
  • มาครั้งแรกใช่ไหม เคยสอบสายการบินอื่นมาก่อนหรือเปล่า
  • ถ้าผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัดจะทำอย่างไร

คำถามก็จะคล้ายๆ กับรอบแรก แต่เร็วกว่ารอบแรกมากๆ ก็แบบใจเสียนิดๆ คือเหมือนว่าเขาถามเราน้อยมาก แต่ก็ยิ้มสู้ๆ เสร็จเรียบร้อยทุกขั้นตอนก็สามารถกลับบ้านได้ และรอผลประกาศไฟนอล ผ่านทาง FB: Talent Bamboo Airways ผมหมายเลข 295 เสร็จประมาณ 11 โมงเช้า ก็ถือว่าใช้เวลาไม่นานส่วนคนที่ได้หมายเลข 700 – 900 กว่า เขาประกาศออกให้กลับไปพัก หรือไปหาอะไรทานก่อนแล้วกลับมาอีกทีบ่ายโมงครึ่ง เพราะฉะนั้นรีบสมัครผ่านออนไลน์เพื่อให้ได้เลขลำดับต้นๆ (เพื่อนเล่าให้ฟังว่า รอบบ่าย กรรมการคงเริ่มล้ากันละ และคนสุดท้ายน่าจะเสร็จประมาณ 5-6 โมงเย็น ก็ถือว่านานอยู่เหมือนกัน และอาจทำให้กรรมการเริ่มไม่เลือกดีๆ แล้วก็ได้)

ระหว่างรอการสัมภาษณ์ ที่หน้าห้องประชุมเขามีมุมอาหารให้ด้วยนะ สำหรับคนที่ยังไม่ได้กินอะไรมาก่อน มีของมาเติมเรื่อยๆ ไม่ต้องกลัวหมด วันนั้น กรรมการน่าจะพักเที่ยงกินข้าวกันประมาณ 12.30-13.00 ถึงได้เริ่มต่อ

จากที่ดูการสมัครทุกรอบส่วนมาก Bamboo จะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ เพราะฉะนั้นถ้าบินไปวันเสาร์พัก 1 คืน แล้วสอบในวันอาทิตย์ จะบินกลับค่ำๆ ก็ทันสำหรับคนที่ต้องทำงานต่อในวันจันทร์ ส่วนใครจะอยู่เที่ยวก็จัดไปโลด จากนั้นกลับบ้านไปรอฟังผล 5-15 วัน

The Last Final

3 พฤษภาคม 2562 ได้รับเทียบเชิญพิเศษรอบ Final round Batch09 ตอนนี้ความพีคคือ ได้รับการเชิญไปรอบสุดท้ายแบบกระทันหันมาก คือมีประกาศผลตอน 2 ทุ่ม เที่ยงวันต่อไปต้องบินไปร่วมการทดสอบทันที ใครไม่พร้อมคือเท่ากับการสละสิทธิ์ไปเลย (ต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์ให้พร้อม ทั้งการเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าเผื่อไว้ เงินทุนสำหรับการบินไปอีกรอบ)

5 พฤษภาคม 2562 ไปสัมภาษณ์รอบสุดท้าย (Last Final) ที่เดิม มีเพียงห้องเดียว กรรมการ 2 คน/ผู้สอบ 2 คน ใช้เวลาประมาณ 10-15 นาที เสร็จไม่เกินเที่ยง เย็นรู้ผลทางอีเมล โหดมากจาก 47 คน เหลือรอดมา 24 คน (initial cabin crew) ไทย 5 เกาหลี 8 พม่า 1 นอกนั้นน่าจะเวียดนาม (มีชายไทยผ่าน 1 คนยินดีค๊า ไม่มีผู้ชายเกาหลีผ่านเลย เสียใจ)

รอบ Last Final  นี้จะเจอกรรมการชุดใหม่ (น่าจะมาจากสายการบินโดยตรง) กรรมการ 2 คนต่อผู้สมัคร 2 คน เหมือนเดิม คือถามสลับกันด้วยคำถามเดียวกัน หรือเปลี่ยนไปบ้าง ขั้นตอนดังนี้

  • แนะนำตัวเอง
  • เล่าประสบการณ์การทำงาน
  • ทำไมถึงอยากเป็นลูกเรือ
  • Convince ทำไมเขาจะต้องเลือกเรา (โน้มน้าวใจ)
  • คิดว่าหน้าที่ลูกเรือคืออะไร
  • คิดว่าจะเรียน “ภาษาเวียดนาม” นานแค่ไหน
  • ถ้าไม่มี Accommodation ให้จะโอเคไหม

รอบนี้ไป 8 โมงเช้า เสร็จทุกอย่างก่อน 10 โมง กลับโรงแรมได้จนประมาณ 4 – 5 โมงเย็น บริษัทส่งอีเมลมายินดีกับเรา และโทรมาถามว่า จะขอให้เลื่อนไฟลท์กลับได้ไหม จะได้ตรวจสุขภาพพรุ่งนี้เช้าเลย จะได้ไม่ต้องบินไปๆ มาๆ ก็ OK ตามนั้น

6 พฤษภาคม 2562 รอบตรวจสุขภาพ Medical Check ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ควรรีบไปเป็นคนแรกๆ จะได้เสร็จก่อน ควรสวมใส่ชุดที่ถอดเปลี่ยนง่าย เช่น เสื้อยืด กางเกงชิวๆ ไม่ควรเป็นชุดเดรส จั๊มสูท ยีนส์ ที่ถอดยาก ควรพกพวกทิชชู่แห้งและเปียกไปด้วย จะมีการตรวจเลือด ปอด หัวใจ ปัสสาวะ อัลตร้าซาวด์ สายตา การทรงตัว ถอดชุดดูรอยสัก รอยแผลเป็นที่เห็นภายนอกร่มผ้า (ชุดเครื่องแบบของสายการบิน)

เทคนิคเล็กๆ น้อยๆ

คุณมะนาวกล่าวว่า “ส่วนตัวเราเป็นคนชอบสังเกตสิ่งรอบตัว สังเกตผู้สมัครแต่ละคน สังเกตกรรมการ จึงไปนั่งหน้าสุดเพราะอยากรู้ว่ากรรมการถามอะไร ดูอะไรบ้าง แม้จะได้ยินเบามากๆ แต่ก็นั่นแหละเราชอบ เราสนใจ เพื่อที่ตัวเองจะได้เตรียมตัวและรู้สิ่งที่เขาต้องการ เท่าที่สัมผัสได้คือ

  • ความเป็นตัวของตัวเอง สดใส สุภาพ อ่อนน้อม ยิ้มแย้ม
  • ไม่เลิกลั่ก ควบคุมตัวเองได้ดี
  • อย่ามั่นใจจนเกินไป มีทัศนคติที่ดี
  • ตอบไม่ต้องยาวมากแต่ตอบให้ตรงประเด็นคำถาม ทำให้เขาประทับใจจนว้าว
  • ชอบคนพูดสำเนียงที่ดี ฟังแล้วเข้าใจ
  • ชอบคนพูดภาษาจีนได้ (เพราะมีเส้นทางบินสิงคโปร์ ไทเป)
  • ชอบคนที่ได้ภาษาญี่ปุ่น เกาหลี อาจได้เปรียบบ้าง (มีรูทบินไปญี่ปุ่น เกาหลี)
  • การแต่งตัวต้องเป๊ะปัง ดูจากภาพลูกเรือของเขาเลย ลุคแบบนั้นแหละ
  • แผลเป็นนอกร่มผ้ากลบให้ดีๆ แต่ไม่ซีเรียสมากนัก
  • เอาเป็นว่าเตรียมตัวมาให้พร้อม ให้ดีที่สุด

เรื่องการแต่งตัว Grooming เสื้อขาว จริงๆ จะทรงไหนก็ได้นะคะ สวยงามได้ บางคนชุดนักศึกษามาเลย แต่ใส่ละดูดีมั่นใจพอค่ะ กระโปรงสีกรมท่าคลุมเข่า ไม่เหนือเข่าตามที่เค้าบอกเลย 5555 ต่างหูมุก นาฬิกา มวยผมต่ำๆ เก็บลูกผมเรียบร้อย

ปล. เราไม่ผอมเพรียว! อวบกลางๆ เลยแหละ ส่วนสูง 164 น้ำหนัก 54 เอว 26 ต้นขาใหญ่😂 แต่รู้ว่าใส่ชุดแบบไหนถึงจะกลบจุดด้อยตัวเอง รู้ว่าแต่งอย่างไรที่ทำให้ตัวเองดูดีขึ้น  เพราะงั้นจงเตรียมตัวเองให้ดูดีนะคะ”

สำหรับคุณคมกริชก็ให้ข้อคิดว่า “คำแนะนำจากการสังเกตุจากคนที่เข้ารอบไฟนอลกัน สำหรับผู้ชาย ควรมี

  • บุคลิกต้องดี ที่สำคัญ ร้อยละ 85 คือ หุ่นดีนะ
  • ยิ้ม ร่าเริง เป็นตัวของตัวเองให้มากที่สุด
  • เวลาพูดไม่ออกสาว ไม่จีบปากจีบคอ เก็บความสาวไว้ก่อน เราต้องแมนเพราะเราคือ ผู้ชายอกสามศอก มีความเป็นสุภาพบุรุษ ข้อนี้เอาตรงๆ ยากที่สุดสำหรับเรา 555
  • เฟรนลี่ ใช้ได้เสมอ แม้กับเพื่อนผู้สมัครต่างชาติ
  • ทัศนะคติที่ดี มันช่วยได้จริงๆ

ถ้าถามว่า ควรสมัครไปสนามสอบไหน แนะนำให้ไปทุกสนามถ้ามีกำลังทรัพย์และเวลาพอ ส่วนเราก็รูดบัตรเครดิตและขยายวงเงินไป ค่อยกลับมาผ่อนขั้นต่ำเอา การลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้ามีโอกาสก็เสี่ยงเถอะ เพื่อสิ่งที่เราอยากได้ อย่ารอให้พร้อมนะ (เพราะไม่รู้เมื่อไหร่) ไปเลย สนับสนุนเป็นกำลังใจให้ด้วยครับ ควรเริ่มตั้งแต่อายุยังน้อยดีกว่า (ชายไทยผ่านเกณฑ์ทหารก็แสวงหาได้แล้วครับ) ส่วนใครที่อายุเกิน 28 แล้วก็อย่าเพิ่งท้อนะ สายการบินไหนมา มีโอกาสไปก็ไปให้ได้ครับ อย่าเลือกสายการบินเพราะยิ่งเป็นผู้ชายละอายุเกิน 28 แล้วมันหาสายการบินที่จะทำ และเป็นตัวเลือกน้อยมากจริง

  • ผมใช้เวลาอย่างจริงจังในการล่าปีกเกือบ 1 ปี
  • ผมสมัครมาทั้งหมด 7 ครั้ง ในไทย 3 อีก 4 ครั้งคือบินไปสมัคร ต่างประเทศ
  • ผมใช้เวลา 6 ปีในการเรียนคอร์สเตรียมตัวเป็นลูกเรือ โดยเริ่มจาก 0
  • ผมสอบโทอิคมากกว่า 15 ครั้ง (เป้าหมายคือ 800)
  • ผมสอบผ่านได้ตามฝันเมื่ออายุ 29 ปี 3 เดือน เกือบจะหมดสิทธิ์ในอีก 9 เดือนข้างหน้า เฮ้อ!

เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ สู้ตามฝันกันต่อไป”

ที่มา :

FB : Linpan Komkrit

FB : Naranoun Kijworawichien

Loading

About Post Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error

Enjoy this blog? Please spread the word :)