บอกเล่าประสบการณ์สมัครแอร์เกาหลี

วันนี้ เอาประสบการณ์ในการสมัครเข้าทำงานกับสายการบิน Asiana Airline ของรุ่นพี่ๆ เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งบอกเล่าค่อนข้างตรงเป็นแนวเดียวกัน เรียกว่ามี Process Interview แบบเดียวกันทุกปี มารู้จักข้อมูลเบื้องต้นกันก่อน

Asiana Airline มีฐานการบินอยู่ที่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี และเป็นหนึ่งในสองสายการบินหลักของเกาหลีใต้ Asiana Airline เป็นสมาชิกของกลุ่มพันธมิตร Star Alliance (กลุ่มเดียวกับสายการบินไทยบ้านเรา) และให้บริการเส้นทางการบินรับส่งผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายทางภายในประเทศ 10 เมือง 11 เส้นทาง และระหว่างประเทศ 21 ประเทศ 62 เมือง 74 เส้นทาง มีการรับขนส่งสินค้า Cargo 11 ประเทศ 28 เมือง 28 เส้นทาง เว็บไซต์ทางการของบริษัท FlyAsiana.com

สำนักงานใหญ่ และศูนย์กลางการบินระหว่างประเทศ ของ เอเชียนาแอร์ไลน์ ตั้งอยู่ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติอินชอน (ใกล้กับโซล) ขณะที่ศูนย์กลางการบินภายในประเทศตั้งอยู่ที่ ท่าอากาศยานนานาชาติกิมโป การรับลูกเรือในไทยที่ผ่านมาจะทำผ่านทางบริษัท Agency คือ Adecco.co.th

คุณสมบัติทั่วไปของผู้สมัคร (รอบปี 2561 ที่ผ่านมา) :

  • เพศหญิง อายุไม่เกิน 24 ปี (เกิดตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2537 เป็นต้นไป)
  • ส่วนสูงขั้นต่ำ 162 ซม. (สามารถเอื้อมแตะได้ในระยะ 217 ซม. สูงทีเดียวนะนี่)
  • วุฒิการศึกษาขั้นต่ำระดับปริญญาตรี
  • สุขภาพแข็งแรง มีสายตาปกติ
  • ไม่มีปัญหาในการขอวีซ่า (เกาหลีค่อนข้างเข้มงวดเพราะมีผู้ลักลอบเข้าไปทำงานจากไทยมาก พวก “ผีน้อย”)
  • มีทักษะในการพูด และการเขียนภาษาอังกฤษ
  • มีคะแนน TOEIC ขั้นต่ำ 550 ขึ้นไป
  • หากสามารถใช้ภาษาเกาหลีได้อย่างคล่องแคล่วจะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ

เอกสารที่เกี่ยวข้องต้องเตรียมให้พร้อม :

  • Resume พร้อมติดภาพถ่ายปัจจุบันของผู้สมัคร
  • ภาพ full size (9×12 cm.)
  • สำเนาบัตรประชาชน
  • สำเนาทรานสคริปต์ และเอกสารรับรองการจบการศึกษา (เป็นภาษาอังกฤษ)
  • ใบรับรองผลคะแนน TOEIC

เมื่อทราบข่าวการรับสมัครลูกเรือผ่านทาง Agency ในไทย เราก็เริ่มเตรียมข้อมูลสำหรับการสมัครตามข้างต้นกันเลย เริ่มจากการเข้าไปที่เว็บไซต์ของ Agency เพื่อดำเนินการสมัครทางออนไลน์ แล้วรอผลถ้าผ่านเกณฑ์คุณสมบัติขั้นต้น เราจะได้อีเมลเชิญให้ไปเข้ารอบคัดเลือกเบื้องต้น (pre-screen)

Pre-screen Process

ส่งเอกสาร วัดส่วนสูง ชั่งน้ำหนัก เอื้อมแตะให้ถึงที่ระยะ 217 เซนติเมตร จากนั้นรอสัมภาษณ์เดี่ยว กับเจ้าหน้าที่ของ Adecco (เป็นคนไทย) แต่คำถามจะเป็นภาษาอังกฤษ ให้เราแนะนำตัว และคำถามอื่นๆ ที่มาจาก Resume/CV ของเรานั่นเอง เช่นคนที่เคยมีประสบการณ์ทำงานอื่นๆ มาก่อนก็จะให้เล่า process การทำงานให้ฟังได้ไหม พอเล่าเสร็จกรรมการก็จะบอกว่า งานต่างกันเลยนะ เราจะสามารถประยุกต์กับงาน cabin crew ได้อย่างไรบ้าง ตอบสั้นๆ พอเข้าใจก็พอ กรรมการจะบอกให้ทราบว่า ให้รอผลทางโทรศัพท์หรือทางอีเมลที่ให้ไว้

Tip: รอบนี้ เจ้าหน้าที่คงจะสกรีนจากรูปร่างและ Profile เป็นหลัก สายนี้เค้าจะชอบสาวหวาน แต่งหน้าเบาๆ ผิวดี อ่อนน้อม ยิ้มเป็นมิตร ไม่ชอบคนมั่นใจ โอเวอร์ ไม่จำเป็นต้องพูดภาษาเกาหลีได้ แต่ถ้าได้ก็ดี

หลังจากนั้นไม่นาน (1-2 สัปดาห์) คนที่ผ่านจะได้รับโทรศัพท์ และได้อีเมลเชิญไปสัมภาษณ์รอบถัดไป

1 st Interview

ไปถึงก็ให้กรอกใบสมัคร รอคิวหน้าห้อง รอเรียกเข้าทีละ 8 คน กรรมการจะให้เราทำตามที่แปะป้ายบอกไว้คือ เอามือประสานตามรูปและเท้าชิด อย่าลืมยิ้มมมม พอเข้าห้องจะเห็นกรรมการจากสายการบินเกาหลี 2 คน มีกรรมการคนไทยจาก Agency อีก 1 คน ให้เรายืนหน้าโต๊ะกรรมการเกาหลี ประสานมือและเริ่มแนะนำตัว พูดชื่อ อายุ จบที่ไหน ทำอะไรอยู่ จนครบทั้ง 8 คน

กรรมการก็จะสุ่มถามเป็นบางคน ไม่ได้ถามทุกคนนะ แต่ไม่โดนถามก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่ผ่านรอบนี้นะ ไม่ต้องกังวลไป ตัวอย่างคำถามเช่น ไป work and travel มาเหรอ อธิบายหน่อยว่าคืออะไร ทำไมถึงเลือกอาชีพ Cabin crew เป็นต้น และก็จะดูผิวพรรณ ขา ให้หมุนตัวให้ดู อะไรแบบนี้ พอเสร็จก็เดินถอยหลัง กลับหลังหันให้กรรมการ เดินออกจากห้องรอฟังผล

Tip: คิดว่ากรรมการสายการบินนี้เน้นเรื่องลุค ใครที่สูง ผอม ผิวขาว ขาเรียว ลุคคล้ายคนเกาหลี มีโอกาสค่อนข้างสูง และชอบคนอายุน้อย

Final Interview

ไปถึงก็ให้รอถ่ายรูป เรียงตามหมายเลข จากนั้นก็ให้ไปถ่ายรูปรวมยืนเรียงกัน แล้วชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ก็เอื้อมแตะอีกครั้งที่สูงกว่าเดิมมาก จะมีกรรมการคนเกาหลีจากสายการบิน Asiana ทั้งหมด เขาจะให้เข้าไปรอบละ 6 – 7 คน ก่อนเข้าห้องเจ้าหน้าที่จะให้หยิบกระดาษคำถามเก็บไว้ ซึ่งต้องนำไปตอบในห้อง (ไม่ได้กำหนดเวลา จนกรรมการพอใจให้หยุด)

เข้าห้องสัมภาษณ์ กรรมการจะให้บอกชื่อกับหมายเลขของเราเท่านั้น ไม่ต้องแนะนำตัว พอครบทุกคนแล้ว ก็ให้อ่านคำถามในกระดาษที่หยิบได้มาตอบ คำถามก็จะแตกต่างกันออกไป เช่น

  • คุณชอบเล่นกีฬาอะไร
  • ชอบดูหนังเรื่องอะไร
  • คิดยังไงกับดาราเกาหลี
  • บอกจุดเด่นของคุณคืออะไรค่ะ
  • มีประเทศอะไรที่อยากไปบ้าง แล้วทำไมถึงอยากไป?
  • คุณมีเหตุการณ์ที่ยากในชีวิตไหม แล้วคุณจัดการอย่างไร?
  • why should we hire you?

เมื่อตอบคำถามเสร็จสิ้นแล้ว ก็เป็นอันเรียบร้อย กลับบ้านได้ รอ รอ… หลังจากนั้นเค้าจะโทรมาแจ้งผลเหมือนเดิม แต่จะแจ้งเฉพาะคนที่ผ่านเท่านั้น ถ้าไม่ผ่านจะไม่ได้รับการติดต่ออะไรเลย

ในทุกขั้นตอนไม่ได้แจ้งกำหนดว่า สัมภาษณ์รอบถัดไปวันไหน แต่รวมๆ ก็รอผลแต่ละรอบราวๆ 1-2 สัปดาห์

การประกาผลทาง Agency จะโทรบอกผลเฉพาะคนที่ผ่านการคัดเลือก แล้วให้ไปตรวจร่างกายที่ รพ.กรุงเทพ เมื่อผ่านขั้นตอนนี้ก็จะได้กำหนดวันที่จะบินไปเทรนที่ประเทศเกาหลีเลย

การเทรนนิ่งหรือฝึกลูกเรือก็เหมือนกับสายการบินอื่นๆ ใช้เวลาฝึก 3 เดือน ในเรื่อง ความรู้เกี่ยวกับเครื่องบินแบบ/รุ่นต่างๆ ที่บริษัทมีให้บริการ ระบบรักษาความปลอดภัยบนเครื่อง การให้บริการและการช่วยเหลือผู้โดยสาร การแต่งกาย ตอนเทรนนี่ว่ายากแล้ว แต่การทำงานจริงๆ คือยากกว่ามาก… คำว่า “ยาก” ในทีนี้คือการ ปรับตัวกับวัฒนธรรมต่างๆ การเรียนรู้ด้านภาษา (เกาหลี) เพิ่ม สำหรับคนที่ไม่มีพื้นฐานมาก่อน ความเป็นรุ่นพี่รุ่นน้องในที่ทำงาน และสำคัญที่สุด Home sick ความคิดถึงบ้าน การทำงานที่ไม่เป็นเวลาแน่นอน แล้วแต่ตารางบินที่ได้รับ การหาโอกาสทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัว ญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูงทางบ้าน รวมทั้งใครมีคนรักนั้น จะหาช่วงเวลาและโอกาสที่ตรงกันยากมากทีเดียว

หมายเหตุเพิ่มเติม :

จากประสบการณ์ของรุ่นพี่หลายๆ คนที่ทำงานในสายการบินเอเชีย (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฯลฯ) มักจะพบกับปัญหาแรงกดดันในเรื่องวัฒนธรรมชนชาติค่อนข้างมาก โดยเฉพาะเรื่องการนับถือลำดับชั้นอาวุโสในการทำงาน ที่แตกต่างจากสายการบินทางตะวันออกกลางที่ดูจะเป็นมืออาชีพ เป็นสากลมากกว่า เช่น ลูกเรือรุ่นพี่มักจะโยนงานให้รุ่นน้องทำมากจนเกินไป (ไม่ใช่ฝึกฝนในการทำงาน แต่เป็นการโยนให้ทำจริงๆ จังๆ จนรุ่นน้องเก็บกดลาออกไปเลยก็มี) ถือความอาวุโสทุกอย่าง ไม่ว่าจะขึ้นรถรับ-ส่งไปทำงานก็ต้องให้รุ่นพี่ขึ้นก่อน ห้ามแซงแม้ว่ารุ่นพี่จะแกล้งถ่วงเชื่องช้ายังไงก็ตาม และโดยเฉพาะเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวในทีมที่ไม่เข้าพวก (เป็นคนไทยคนเดียวในเที่ยวบินนั้น) ลูกเรือที่เหลือเป็นจีน เกาหลี เขาก็จะใช้เฉพาะภาษาถิ่นคุยกันข้ามหัวเราไป ไม่สนใจใช้ภาษากลาง เหมือนเราไม่มีตัวตนในนั้น

ต่างจากที่ในสายการบินตะวันออกกลางที่ผมทำงานอยู่ ทั้งเอธิฮัด การ์ตาร์ เอมิเรตส์ ซาอุดีอาระเบีย ฯลฯ พวกเราทำงานเป็นทีมอินเตอร์มากกว่าจะใช้ภาษากลาง (อังกฤษ) สื่อสารเป็นหลัก แม้จะมีพูดภาษาถิ่นของแต่ละชาติบ้าง แต่เมื่อมีเพื่อนทีมชาติอื่นอยู่ด้วย เราก็จะแปลให้ทุกคนเข้าใจเป็นภาษากลาง สอนภาษากันสนุกสนานเสมอ ยิ่งเรื่องกินเรื่องช็อปเมื่อบินมาที่เมืองไทย นี่จะสนุกสนานกันเป็นที่สุด ตะลุยชิมสตรีทฟู๊ด หิ้วข้าวเหนียวมะม่วง หมูปิ้ง ยำมะม่วง ขึ้นเครื่องไปโซ้ยกันเป็นประจำหลังบริการผู้โดยสารเสร็จ  เรื่องตระเวนช็อปเสื้อผ้าที่ แพลทตินัม ประตูน้ำ มาบุญครอง ลูกเรือไทยเป็นไกด์ได้สุดยอด การทำงานเราจะช่วยกันเป็นทีมไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ก็ขอให้น้องๆ ที่ตัดสินใจเดินทางมาทำงานสายอาชีพนี้ต้องเตรียมตัว เตรียมใจไว้บ้าง ห่างบ้านไกลเมืองเกิด ห่างครอบครัว มีอาการ Home Sick แล้วยังต้องเตรียมรับการกดดันในรูปแบบนี้ไว้ด้วยครับ หลายคนอยู่ทางสายการบินเอชียได้ปี 2 ปี ก็ลาออก แต่กลับไปอยู่ทางฝั่งตะวันออกกลางได้นานเป็น 5-10 ปีก็มี

เตรียมตัวอย่างไรกับการสมัครลูกเรือ

ในการสมัครงานประเภทนี้ จริงๆ แล้วใครที่แต่งหน้า+ทำผมเป็น และมีชุดที่เหมาะสมอยู่แล้ว ไม่ต้องไปเช่าร้านให้เสียเงินเลย ทำเองได้หมดเลย เพียงดูว่า ควรแต่งหน้า แต่งตัวแบบไหน ให้เข้ากับสายการบินที่เราไปสมัครก็เพียงพอ (ดูในรูปการแต่งตัวของลูกเรือสายนั้นๆ เป็นแบบได้ เพราะนั่นคือเอกลักษณ์ที่สายการบินต้องการ)

ส่วนเรื่อง การไปเรียนเสริมความรู้ตามสถาบันต่างๆ ถามว่าจำเป็นไหม? ก็ไม่จำเป็นนะ แต่ถ้าใครมีเงินและมีเวลาพอ อยากจะไปเพิ่มพูนประสบการณ์ และเพิ่มโอกาสให้ตัวเองก็ได้ กับพวกหลักสูตรระยะสั้นๆ ซึ่งจะได้แนวทางการเตรียมตัว การตอบคำถาม การชี้แนะจากทางสถาบันนั้นๆ แต่ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าคุณจะผ่านได้เป็นแอร์แน่ๆ หลายๆ คนก็ไม่ได้เรียน เพียงดูรีวิวจากในอินทอร์เน็ต ศึกษาข้อมูลของสายการบินต่างๆ (โดยเฉพาะสายการบินที่เรามีความประสงค์จะเข้าร่วมทำงานด้วย) ฝึกซ้อมตนเองหน้ากระจก ตอบคำถามต่างๆ ฝึกท่าเดินเพื่อเพิ่มความมั่นใจ

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังสนใจ อยากติดปีกกับสายการบินต่างๆ เชื่อว่าทุกคนทำได้ อ่านหาความรู้ได้จากที่นี่ รวมทั้งติดตามข่าวสารการรับสมัครได้ที่นี่ และช่องทางอื่นๆ คำแนะนำที่สำคัญคือ ขอให้เริ่มจากการทำ Resume ก่อน แล้วนำไปปรึกษาผู้รู้ หรือดูตัวอย่างจากในเว็บไซต์ ในคลิปทางช่อง Youtube มีมากมายลองค้นดู แล้วก็เตรียมชุดสูทสำหรับการสมัครงานไว้เลย ถ่ายรูปขนาดต่างๆ รอไว้เลย แนะนำไปถ่ายรูปกับ Studio ที่เขามีประสบการณ์เฉพาะจะดีที่สุด (ค้นหาใน Google ด้วยคำว่า ถ่ายรูป เตรียมสมัครแอร์ ได้เลย)

การทดสอบภาษาอังกฤษ TOIEC ก็สำคัญ สอบบ่อยๆ ให้ได้คะแนนสูงๆ ไว้ ถ้าต่ำกว่า 650 เราจะมีคู่แข่งเยอะแน่นอน แต่ถ้าสูงระดับ 700+ คู่แข่งจะน้อยลงเป็นหลักประกันได้ว่า เรามีโอกาสสูงกว่า แล้วอย่าคิดไปสอบช่วงที่เขากำลังเปิดรับสมัครลูกเรือนะ ผลออกมาอาจจะไม่ทัน และผลคะแนนพวกนี้เขารับไม่เกิน 2 ปี สอบทุกปีไว้เป็นดีที่สุด แล้วสายการบินใด จะที่ไหนเปิดรับ ก็ไปสมัครให้หมดเลยดีกว่า ได้ไม่ได้ ไม่เป็นไร ถือว่าเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จะในต่างประเทศแถบอาเซียนบ้านเรา ถ้ามีงบพอก็ควรไปสมัคร ถ้ามัวรอแต่ที่เปิดรับสมัครในไทยอายุจะเกินเสียก่อนนะ

สิ่งสำคัญไม่แพ้กันคือ การว่ายน้ำ ควรว่ายน้ำได้โดยไม่มีเครื่องช่วยพยุง สุภาพสตรีว่ายได้ในระยะอย่างน้อย 50 เมตร สุภาพบุรุษต้องได้ระยะ 100 เมตรขึ้นไป แม้ว่าสายการบินที่สมัครจะไม่ได้ระบุไว้ แต่เมื่อไปเทรนนิ่งยังไงก็ต้องฝึกการว่ายน้ำ และการช่วยชีวิตจากการจมน้ำเมื่อเครื่องบินต้องลงฉุกเฉินในน้ำอยู่ดี ถ้าไม่ผ่านตรงนี้ก็หมดโอกาสกับอาชีพนี้เลยนะครับ

เรื่องแผลเป็นหรือรอยสัก ก็เป็นข้อห้ามสำคัญ ส่วนใหญ่จะดูว่า เมื่อสวมใส่ยูนิฟอร์มของบริษัทแล้วจะต้องมองไม่เห็นร่องรอยเหล่านี้ ถ้าเป็นแผลเป็นเล็กๆ น้อยๆ ที่ปกปิดด้วยเครื่องสำอางได้ก็ไม่เป็นไร อนุโลมได้ การสวมเหล็กดัดฟันก็เป็นสิ่งต้องห้าม ถ้าใครฟันเก ฟันเหยินก็รีบไปทำเสียให้เสร็จสมบูรณ์ก่อนการสมัครให้เรียบร้อย แว่นสายตาก็ห้ามนะแต่ใส่คอนแท็คเลนส์ได้

มีประสบการณ์จากสาวไทยที่เคยไปทำงานกับ Asiana Airlines มา อยู่ 2-3 ปี แล้วลาออกมาทำงานกับสายการบินไทย เมื่อสอบถามก็ได้คำตอบว่า “ที่ไหนจะสุขใจเหมือนบ้านเราพี่” ก็เลยถามต่อว่า “ผู้โดยสารเกาหลีเป็นไงหรือ?” คำตอบที่ได้ “ในละคร ซีรีย์เกาหลี นั่นมันภาพลวงตา ไม่ได้โรแมนติกโอ๊ปป้า อย่างในละครดอกจ้า”

ไม่รู้สินะ… สายการบินไทย (TG) ของเรา มีเที่ยวบินเข้าออกเกาหลีวันหนึ่งๆ หลายเที่ยว แต่ละเที่ยวก็ขนผู้โดยสารเกาหลีแน่นเอี๊ยด… แต่จากประสบการณ์ของผม… ผู้โดยสารชาวเกาหลีที่เดินทางกับสายการบินไทยเรา ค่อนข้างเรียบร้อย ไม่ยุ่ง ไม่งอน ไม่เรื่องมาก ไม่ได้อาหารที่ต้องการหรือเลือกไว้ก็ไม่บ่น ก้มหน้าก้มตากิน ดื่มนิดหน่อย หลับ แล้วก็กรน…

หรืออาจเป็นเพราะ… อย่างที่เราทราบๆ กันอยู่ว่า “ผู้โดยสารไม่ว่าชาติใด ก็มักมีอคติกับสายการบินของประเทศตัวเอง” เช่น ผู้โดยสารคนไทยจะเรียบร้อยเป็นพิเศษเมื่อต้องไปนั่งสายการบินอื่น โดยเฉพาะสายการบินฝรั่งหรือตะวันออกกลาง แต่จะมีความต้องการสูงขึ้นมาทันทีทันใด เมื่อมาใช้บริการสายการบินประจำชาติของตัวเอง อย่างที่เป็นข่าวเป็นคลิปดัง จนคนไทยด่าทั่วประเทศเมื่อไม่นานมานี้

ไม่เว้นแม้ผู้โดยสารชาวสิงคโปร์ เค้าก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเหมือนกันนะ และก็รู้สึก (ไปเอง) เหมือนกันว่า สาวสิงคโปร์เกิร์ล หรือแอร์สายการบินของตัวเองนั้น ช่างไม่เอาใจใส่ดูแลชาวสิงคโปร์ด้วยกันเลย เหมือนกับที่เอาใจผู้โดยสารชาติอื่น อืมมม์ ก็คิดไปได้เนอะ…

“ใช่พี่ คนไปเที่ยวประเดี๋ยวประด๋าวไม่รู้สึกหรอก เพราะไปกินไปช้อป อะไรๆ มันก็ดูสวยงามไปหมด เค้าไม่ได้คลุกคลีตีโมงกับผู้โดยสารเหมือนเรา แต่ก็ไม่ทุกคนหรอกนะ คนดีๆ ก็เยอะ เรียกว่าอุปนิสัยประจำชาติของเรา และของเค้ามันต่างกันสุดขั้วมากกว่า ของเค้าจะแข็งๆ ส่วนเราจะนิ่มๆ (หมายถึงบุคลิกนะเธอว์) บนเครื่องไม่มีปัญหาหรอก เพื่อนๆ ลูกเรือเกาหลีขยัน ไม่อู้ แต่บอกตรงๆ ว่าหนัก เหนื่อย เครียด บางไฟลท์น้ำลายบูดเลย เพราะเป็นแอร์คนไทยเพียงคนเดียว ไม่มีใครคุยด้วยเลย แงๆ”

ก็เลยขอถามหน่อยว่า “ตอนไปสมัครกับสายการบิน Asiana Airlines เขาให้ทำอะไรบ้าง เผื่อเป็นแนวทางให้รุ่นน้องๆ ที่สนใจไปสมัคร”

“รอบแรกเรียกว่า “รอบดูตัวแล้วกัน” เพราะไม่ได้พูดคุยอะไรกับกรรมการสักคำ ไอ้เรื่องแต่งหน้า แต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผมก็จัดเต็มเข้าไปกันได้เลย ผิวขาว ผิวดำยังไงไม่มีสเปคเลยนะ เพราะเข้าไปแล้วจะเห็นว่า มีทั้งขาวทั้งดำปนกันไปหมด ก็เข้าไปในห้องพร้อมกันทีเดียวทีละ 8-10 คน ในห้องมีทั้งกรรมการไทยและเกาหลี นั่งเรียงหน้ากระดาน 6-7 คน ไปถึงก็ยืนประจันหน้ากันเลยทีเดียว”

ผมถามต่อ “ต้องแนะนำตัวตามสูตรมาตรฐานหรือเปล่าล่ะ”

“ไม่เลยพี่ ไปถึงปุ๊บ ก็ยื่นแขนพลิกไป พลิกมา ให้กรรมการดู ดูหน้า ดูแขน ดูขา แค่นี้จบ จากนั้นก็ไปสอบข้อเขียนภาษาอังกฤษ จะว่ายากก็ไม่เชิง มันเหมือนกับสอบโทอิคนั่นแหละ ยากง่ายพอๆ กัน ทำเสร็จก็กลับบ้านรอประกาศผล

มาถึงรอบไฟนอล คราวนี้เข้าไปกลุ่มละ 5 คน ก็คุยนิดหน่อย แนะนำตัว กรรมการให้เราจับคำถามคนละข้อ ถามโน่นถามนี่ ตามที่เราให้รายละเอียดไปในใบสมัครหรือใน Resume นั่นแหละ ถามเรื่องเรียน เรื่องที่ทำงาน และก็พวกคำถามบังคับเช่น ทำไมถึงมาสมัครสายการบินนี้ และก็ถามความรู้เกี่ยวกับสายการบินบ้าง เส้นทางบิน ฯลฯ ที่ฟังๆ ดู ก็ไม่เห็นกรรมการจะถามออกนอกลู่นอกทางเท่าไหร่ ที่สำคัญคือ คุยเสร็จกรรมการให้เดินรอบห้อง ยังกะนางแบบเดินบน cat walk เลย ดูขา รู้เลยว่า “ตั้งใจดูขา” กันเลยทีเดียว หนูเข้าใจว่า กรรมการคงไม่ชอบคนขาใหญ่ ขาโก่ง ก็ไม่รู้นะ เพราะคนที่ได้ก็ขาเรียวสวยๆ กันทั้งนั้น

เดินเสร็จก็คุยนิดหน่อยไม่ซีเรียส แล้วก็ให้โค้ง โค้งแบบเกาหลีนั่นแหละน่ะ แบบในละครย้อนยุค แดจังกึมนั่น เสร็จแล้วก็จบ กลับบ้าน ง่ายจะตาย น้องๆ ไม่ต้องซีเรียส 555″

เอ้า! ตามนั้นเลย น้องๆ ไปฝึกฝนมาให้ดี เตรียมตัวให้พร้อมกันเลย 🙂 😀 😛 😉

Loading

About Post Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error

Enjoy this blog? Please spread the word :)