Experience @ Etihad.
ประสบการณ์สมัครแอร์ Etihad
ประสบการณ์สมัครแอร์ Etihad @ Abu Dhabi
โดย คุณฝน (beshinebyfon)
แชร์ประสบการณ์การ Walk-In สมัครแอร์ต่างประเทศ กับสายการบินเอธิฮัด Etihad (เบสอยู่ที่เมืองอาบูดาบี้) บินลัดฟ้าไปสมัครไกลถึงเมือง อาบูดาบี้ ประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (U.A.E.) เลยทีเดียว (ที่จริงถ้าบินจากโอมาน ใช้เวลาแค่ประมาณ 50 นาที เอง ใกล้นิดเดียว แต่ในกรณีนี้พูดถึงสาวๆ ที่บินมาสมัครจากไทยนะ)
เพราะ สายการบินนี้ไม่มาเปิดรับที่เมืองไทยเลย แต่จะเปิดรับสมัครออนไลน์ โดยการให้ผู้สมัครเข้าไปกรอกใบสมัคร พร้อมเขียนเรียงความสั้นๆ 2 เรื่อง เมื่อผ่านการพิจารณาจากกรรมการ กรรมการจะส่งอีเมลล์เรียนเชิญให้มาสมัครตามประเทศที่เปิดรับสมัคร (ส่วนใหญ่คนไทยก็จะบินมาสมัครที่เมืองอาบูดาบี้ หรือฮ่องกง)
** สมัครได้ที่ http://www.etihad.com/en/careers/cabin/recruitment/cabin-crew-assessments/
ด้วยค่าใช้จ่ายที่สูงสำหรับการลงทุนการสมัคร เลยไม่ค่อยได้เห็นคนไทยมาปรากฏโฉมหน้า ในสายการบินเอธิฮัดมากเท่าไหร่นัก
แต่ ถือว่าเป็นอีกสายการบินที่น่าร่วมงานด้วยมากๆ เงินเดือนดี (คาดว่า 100k+) รูทบินทั่วโลก ฝูงบินเยอะ มั่นคง สังคมการทำงานดี และไม่กดดันมาก
วันนี้ มีโอกาสได้มาลองเปิดโลกกว้าง หาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ชีวิต กลับมาแชร์ประสบการณ์เล่าสู่กันฟัง เผื่อไว้เป็นแนวทางกับสาวๆ ที่อยากจะติดปีกกับสายแขก ^^
ขั้นตอนสำหรับสายการบินนี้ (แบบคร่าวๆ เนอะ)
1. กรอกในสมัคร Online (ในเว็บไซต์ที่แปะไว้ให้ข้างต้น)
- กรอก Resume ทั่วไป
- มีให้เขียนเรียงความ
- Best Service
- Teamwork
** max 4000 words (ให้เล่าว่าใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร)
1. เมื่อกรอกข้อมูลเรียบร้อยเเละกด Submit
2. รอสายการบินพิจารณา ว่า ได้รับเลือกในรอบเเรกหรือไม่ ( ประมาณ 3-4 วัน สายการบินจะส่งเมลล์กลับมาบอก)
– ถ้าไม่ผ่าน คือรอส่งออนไลน์ใหม่อีก 6 เดือนข้างหน้า
– ถ้าผ่าน จะมีวัน เวลา เเละสถานที่ให้เราเลือก “BOOK” ในระบบ
* จดหมายเชิญ Walk-in มีอายุ 6 เดือน เราสามารถไป Walk-in ในประเทศใดก็ได้ที่ทางสายการบินเปิด เช่น เชร็ค ลอนดอน โปรตุเกส (เเต่เเนะนำคนไทยควรไป ฮ่องกง หรือ อาบูดาบี้)
* Book เเล้วต้องไปนะคะ ไม่เช่นนั้นสายการบินจะเเบนผู้สมัคร
* หลังจากนั้นเตรียมตัว บินไปสมัครโลด Process การสมัคร ตั้งเเต่รอบเเรก เอสเส กรุ๊ป ไฟนอล วันเดียวจบค่ะ รู้ผลเลยว่าได้หรือไม่ได้ (ดีมาก จะได้ไม่ต้องมีโมเม้นต์นั่ง Refresh Email ทั้งวัน 5555)
หลังจากนั้นเมื่อ Book วันที่จะเข้าสัมภาษณ์ บินมาถึงเมืองอาบูดาบี้เรียบร้อยแล้ว Process มีขึ้นที่ Etihad Airways Academy ณ เมืองอาบู ดาบี้ ขั้นตอนมีดังนี้
2. CV Drop
3. Arm Reach เอื้อมแตะให้ได้ 210 ซม. (เขย่งได้)
4. ดู Presentation
5. Paperwork (ข้อสอบภาษาอังกฤษ คล้ายๆ โทอิค แต่ง่ายกว่า)
6. แนะนำเพื่อน (Public Speaking)
7. ฟังแนะนำสายการบิน
8. Group Discussion
9. Final interview
หลังจากนั้น รอผลไม่เกิน 4 วัน (หรืออาจจะภายในวันนั้นเลย)
หลังจากที่เราได้รับเมลล์เชิญ (Invitation) จากทางสายการบิน ก็ไม่ยอม Book วันสมัครซักที เพราะหาวันหยุดที่มัน Match ตรงกันไม่ได้ (ไปเที่ยวบ้าง กลับบ้านบ้าง) สายการบินก็น่ารักมีส่งเมลล์มาเตือนเรื่อยๆ จนมารู้ตัวอีกที ใกล้จะครบระยะเวลา 6 เดือนที่ได้เมลล์มาแล้ว (จะหมดอายุนั่นเอง)
ไม่ได้การล้ะ! เลยต้องรีบจองตั๋วไปบินสมัครอย่างด่วน พยายามหาวันหยุดติดกัน 2 วันเพื่อมาสมัคร
ชีวิตมีแวววุ่นวาย วิ่งกันวุ่น ชีพจรลงเท้าตั้งแต่วันก่อนไปสมัคร ประมวล ผลเรียงลำดับเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้น 2 วันที่ใช้ชีวิตอยู่ในอาบู้ดาบี้ ตั้งแต่ก่อนไป จนถึงไป แล้วกลับ เป็นอะไรที่เหนื่อย และเด็ดเดี่ยวมาก ถือเป็นประสบการณ์ชีวิตอีกแบบที่สุดๆ ไปเลย
1. วันที่สัมภาษณ์คือวันที่ วันที่ 21 มกราคม 2558 แต่ เราดันมีบินแล้วแลนด์จากกัวลาลัมเปอร์วันที่ 20 ตอน 1 ทุ่ม จองตั๋วบินไปอาบู อาบี้ ตอนตี 2 แลนด์ถึงอาบู้ ตี 3 แล้ว 8 โมงเข้า Walk-in เข้าไปสมัครเลย
2. ไปขอกัปตันมาบนไฟลท์ว่า “พอชั้นแลนด์แล้วขอแยกก่อนเลยนะ ไม่ขึ้นบัสกลับออฟฟิซกับพวกยู” เราสลับเอาของที่ต้องใช้ใส่กระเป๋าที่จะไปอาบู้ (เราจัดเสื้อผ้าที่จะใช้ไปอาบู้ ไปกัวลาลัมเปอร์ด้วย เอากระเป๋าลูกเรือนี่ละไปอาบู้ด้วยเลย แล้วเอากระดาษปิดตรา Oman Air Crew ไว้) ส่วนกระเป๋าอีก 2 ใบที่เหลือฝากรูมมี่เอากลับห้อง (เพราะไฟลท์ตี 2 แต่ไม่อยากกลับบ้าน เสียค่ารถไปมา เสียเวลาด้วย อยู่นอนรอที่สนามบินดีกว่า)
3. เข้าไปล้างหน้า ลบเครื่องสำอางค์ เปลี่ยนชุดจากยูนิฟอร์มเป็นชุดธรรมดาที่ห้องน้ำสนามบินมัสกัต
4. ไป Check-in ปรากฏว่ามี ไฟลท์บินไปอาบูดาบี้ว่าง Gate เพิ่งเปิด ตอน 2 ทุ่ม .. กราวน์สต๊าฟ เลยแนะนำให้ไปไฟลท์นี้แทน (ที่จริงยังอยากได้ไฟลท์ตีสองเหมือนเดิม เพราะได้มีเวลานั่งกรอกใบ Application แล้วเล่นเน็ตที่มัสกัต) แต่สุดท้าย เอาว๊ะ ไปนอนสนามบินที่อาบู้ก็ได้ จำได้ว่า ที่นอนสบาย
5. ออกเดินทางจากมัสกัต ถึง อาบูดาบี้ตอน 3 ทุ่ม เตรียมออกจากเครื่อง เพื่อไปหาที่นอน
6. ขณะกำลังเดินออกจากเครื่อง มีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งมองหน้าเราแล้วทักว่า “พี่ฝนป่ะคะ?” (แอร์แขกนี่แอบเป็นที่รู้จักใช่ย่อยน้า) คุยไปคุยมาเลยได้รู้ว่าเป็นลูกเพจ (ที่ตอนนี้มาบินอยู่โอมานแอร์แล้ว ตอนนั้นเคยคุยกันเรื่องความเป็นอยู่ในเมืองแขก เพราะตอนนั้นน้องผ่านทุก Process กำลังจะเดินทางมามัสกัตพอดี)
โลกมันช่างกลมอะไรแบบนี้ น้องแกจองโรงแรม Hotel Airport ไว้คืนนี้พอดี ส่วนเราเองจองโรงแรมไว้ในเมืองสำหรับพรุ่งนี้ เพราะงกไม่อยากเสียเงิน 2 วัน ยอมนอนที่สนามบิน (ความเป็นจริงแล้วมรึงควรจองโรงแรมวันแรก เพื่อใช้นอนแล้วสมัครงานป่ะ ? แต่โรคบ้าเที่ยว เราดันไปจองโรงแรมในเมือง ใกล้ที่เที่ยวซะงั้น 55555 )
หลังจากถึงสนามบินอาบูดาบี้ แล้วต้องเดินผ่านตม. (Immigration) ด่านตรวจคนเข้าเมือง เพื่อขอทำวีซ่าก่อนเลย วีซ่าที่นี่ทำง่ายมากเพราะเป็น Visa On Arrival คือ เอาพาสปอร์ตมายื่นกับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่จะแจกฟอร์ม ให้เรากรอกข้อมูลส่วนตัวลงไป
หลังจากนั้น จ่ายเงิน 205 AED (1 AED ประมาณ 8.8 ฿ แต่เราคิดง่ายๆว่า 1 AED = 10 ฿ (AED = Arab Emirates Dirham สกุลเงินของเอมิเรตส์ คือ เดอแฮม))
มาถึงแล้วเข้า Check-in ก่อนเลย (ที่พักอยู่ได้ 2 คนอยู่แล้ว) สำหรับใครที่มาเพื่อ Walk-in สมัครสายการบินเอธิฮัดโดยเฉพาะ จองโรงแรมนี้เลยก็ดีนะ ราคาสูงหน่อย (คืนละประมาณ 3-4 พันบาท) แต่อยู่ใกล้ ตึกที่สัมภาษณ์งานมาก (Etihad Academy) เพียง 15 นาทีจากโรงแรมก็ถึงแล้ว เรียกแท็กซี่หน้าโรงแรมได้เลย (รวมทั้งหมดแล้ว 36 AED เท่านั้น)
ห้องน้ำมีอ่างอาบน้ำด้วย (โรงแรม 3 ดาวนะเนี่ยยย) เมืองแขกที่แข่งกันเรื่องธุรกิจโรงแรมน่าดู อย่างโรงแรม 7 ดาว Emirate Palace ก็ตั้งอยู่ที่เมืองอาบู้ดาบี้ เมืองหลวงแห่งสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์นะ
เสบียง อาหารของเรา 2 คนที่พกมา น้องพกข้าว มาม่า ปลากระป๋อง (มื้อหนัก อิ่มท้อง) ส่วนเราพกมาแค่ขนมและแอปเปิ้ลเล็กน้อย กะว่าค่อยมาซื้อกินเอาที่นี่ ค่าครองชีพ อาหาร คงจะไม่แพงมาก (มั้ง)
ป๊าดดดดดดดดดด คิดผิดที่สุด!! ได้ยินรุ่นพี่บอกมาแล้วบ้าง ว่าเมืองอาบูดาบี้ ค่าครองชีพสูง แต่เราอยู่เมืองแขกเหมือนกัน เลยคิดว่า ก็คงพอๆ กันแหละมั้ง มื้อดึกจะแวะซื้อแซนวิชกินง่ายๆ ก็ราคาประมาณ 400 บาทแล้ว แซนวิชชิ้นเดียวมื้อเช้าก็ราคาประมาณ 200-300 บาทแล้วอ่า เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นไปได้ พกอาหาร ของแห้งมากันเยอะๆ นะ จะได้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายไปอีกทาง (ยิ่งใครอยู่เที่ยวด้วยแล้ว รับรองว่าหมดตรูดเพราะค่าแท๊กซี่แน่แท้)
นั่งเขียนใบสมัครที่ค้างไว้นิดหน่อย (เอธิฮัดขอเอกสารเยอะมาก เอกสารต่างๆ จะมีบอกไว้ในอีเมลล์ Invitation เช่น เรซูเม่ 2 ชุด พาสปอร์ตสี 5 ชุด Transcript ใบรับรองการทำงาน ใบ Application Form ใบตรวจร่างกาย) ต้องเตรียมมาให้หมดนะ เพราะ Process การสมัครวันเดียวจบ เราไม่มีทางรู้ได้ว่า เราจะไปตกเอารอบไหน ถ้าเกิดดันเข้าไฟนอลขึ้นมา กรรมการเรียกขอดูเอกสาร แล้วไม่มีให้ นี่จบไม่สวยนะ
หลังจากนั้นก็นอนประมาณ 6 ชม. แล้วตื่นมาแต่งหน้า แต่งตัวทำผมกันเลย! สำหรับการมา Walk-in ต่างประเทศ Skill หนึ่งที่ต้องมี คือ ต้องสามารถแต่งหน้าและทำผมเองได้
ไม่เหมือนสมัครที่ไทยเนอะ เดินเข้าไปจ่ายตังค์ร้านทำผม ร้านแต่งหน้า เดินออกมาก็สวยเช้งแล้ว เราเองก็แต่งหน้าไม่เก่ง อาศัยว่า พยายามแต่งหน้าให้เข้ากับหน้าเรา แต่งให้ลุ๊คที่เรามั่นใจที่สุด ทำผมให้เนี๊ยบ แต่งตัวให้สุภาพ ดูสะอาดสะอ้าน เท่านี้ Grooming คนไทย ก็สวยเด่น ไม่แพ้ชาติใดในโลกแล้ว
แต่งหน้าแต่งตัวเสร็จประมาณ 7 โมง 8 โมงคือ เวลาสัมภาษณ์ นั่งแท็กซี่จากโรงแรมมาถึง Etihad Academy (ตามในแผนที่ แทกซี่รู้จักกันทั้งนั้น) ใช้เวลาประมาณเพียง 15 นาที (36 AED) มาถึงบริษัทเห็นผู้สมัครยืนต่อแถวเรียงกันล้นหน้าบริษัทแล้ว
เข้าไปทำความรู้จักกับสมัครผู้แข่งขันหน่อย ต้องยืนคุย เพราะข้างนอกหนาวมาก (อากาศเมืองแขกหน้าหนาวประมาณ 22 องศา) หลังจากนั้นแลกบัตร แล้วเข้าไปนั่งรอในห้องสมัคร เท่าที่เรามองดูคร่าวๆ
ผู้สมัครประมาณ 200 คน
- ร้อยละ 60 คือ หัวทอง (จากยุโรป อเมริกา ออสซี่)
- ร้อยละ 30 คือ มอรอคคัน อียีปต์ จอร์แดน หรือพวก Arabic Speaker (บางคนพูดได้ 4 ภาษา คือ อาราบิค อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน โอ้วว แม่เจ้า)
- ส่วนร้อยละ 10 คือ เอเชียหัวดำอย่างพวกเรา มีทั้ง เกาหลี จีน มาเลย์ และคนไทยทั้งหมด 4 คน
หลายคนมองว่า อุ๊ย Walk-in ต่างประเทศ คนสมัครน้อย ยิ่งคนไทย Grooming หน้าผม สูทโดดเด่นไม่เป็นรองใครอยู่แล้ว เรื่องภาษาเราก็ไม่น้อยหน้า อย่างงี้เราก็ได้เปรียบน่ะซิ (ฝนว่าก็จริงนะ)
แต่สนามนี้ไม่ใช่เลยค่ะ ทุกคนดูสวยหล่อ มั่นใจ ภาษาเป๊ะ กรูมมิ่งเป๊ะ ภาษีดี ทำงานประสบการณ์ด้านบริการโดยตรงก็เยอะ เป็นลูกเรือเก่ามาจากสายการบินใหญ่ๆ ก็แยะ มีทั้งจูเนียร์ และซีเนียร์ (อ้าวแล้วไปรู้ได้ไง? รู้ได้จากตอนสัมภาษณ์รอบแนะนำเพื่อนข้างๆ ซึ่งเค้าจะให้จับคู่เพื่อนข้างๆ แล้วแนะนำต่อหน้าเพื่อนในห้องทุกคน เราเลยเหมือนได้รู้จักทุกคนไปด้วย)
กรรมการบอกเสมอว่า สายการบินเลือกคนที่ดีที่สุด มองหาคุณสมบัติที่ต้องการในตัวผู้สมัครแต่ละคน อย่าคิดว่า ทุกคนที่มาเป็นคู่แข่ง แต่เราเห็นผู้สมัครแล้วแอบขนลุกซู่เล็กน้อย (เป๊ะกันจังเลย) แต่เอาวะ เรา Do My Best !
ก่อนถูกเชิญไล่กลับบ้านอย่างเป็นทางการ กรรมการมีพูดปลอบใจว่า คราวนี้ไม่ได้ไม่เป็นไร ไว้คราวหน้ามาลองใหม่นะ (แต่ต้องรอให้ครบ 6 เดือนก่อนถึงจะสมัครใหม่ได้ กลับไปพัฒนาตัวเอง) กรรมการบอกว่า “ดูอย่างชั้นซิ มาครั้งแรกชั้นก็ตกรอบเหมือนกัน ชั้นเองกลับไปหาข้อผิดพลาดของตัวเอง แล้วกลับมาสมัครใหม่ แล้วสุดท้ายชั้นก็ได้งานนี้”
ปลอบใจทิ้งทวนตอนท้ายว่า สายการบินเรามีผู้สมัคร Online Application มามากกว่า 500 ใบสมัครต่อวัน แต่เราคัดเลือกมาประมาณ 1 ใน 25 เท่านั้น (ประมาณ 20 คนจาก 500 คน ) มาถึงจุดนี้ก็ต้องภูมิใจแล้วนะ (คือ อยากติดปีกมากกว่าอะค่ะ คุณพี่ขา 55555)
เดี๋ยวไว้อีก 6 เดือนมาลองใหม่ ตอนนี้ก็ล่าปีกไปเรื่อยๆ เหตุผลหลักที่ออกล่าปีกเลยคือ ตั้งแต่พ่อเสีย แม่อยู่ภูเก็ตคนเดียว สภาวะการบินเราไม่มั่นคงอีกต่อไป ใจนึงก็ยังอยากอยู่เก็บเงินอีกหน่อย แต่อีกใจนึงก็ห่วงแม่เพราะแกอยู่คนเดียว เเต่ยังอยากบิน และรักอาชีพนี้อยู่
ตอนนี้เลยต้องหาช่องทางขยับขยายไปยังสายการบินที่โตขึ้น เช่น สายการบินแขก อย่าง EY EK QR (เพราะเค้ามีบิน Layover Phuket อย่างน้อยเราจะได้ Bid กลับบ้านทุกเดือน) หรือไม่ก็อาจจะกลับไปอยู่สายการบินที่ Based เมืองไทยไปเลย (Jet Star เบสภูเก็ตนี่โครตน่าสนเลย)
ชีวิตวนกลับมา Loop เดิมๆ เหมือนตอนที่เริ่มสมัครแอร์ใหม่ๆ (เหนื่อยแต่ก็สนุกดี เเต่ไม่เครียดเท่าตอน 3 ปีที่แล้วที่เคว้งไม่มีงานทำ) ทีนี้ก็ดีเลย ได้เหมือนเริ่มแชร์ประสบการณ์ให้กับน้องใหม่ ล่าปีกไปพร้อมๆ กัน ผู้อ่านช่วยติดตามเป็นกำลังใจให้ด้วยนะแจ๊ะ
ณ ตอนนั้นเวลาประมาณเที่ยง (ถ้าได้อยู่ไปต่อถึงไฟนอล Process ทั้งหมดน่าจะเสร็จไม่เกิน 6 โมงเย็นค่ะ) เลยมานั่งกินข้าวที่แคนทีน เจอน้องคนไทยที่เพิ่งมา Join Etihad เข้ามาทัก แบบโครตดีใจ เพราะรู้จักกันทาง Social เพื่อนของเพื่อนของเพื่อนอีกที และเพื่อนอีกคนที่ได้เข้าไปทำกรุ๊ป (ตกไฟนอลเอธิฮัดมา 3 รอบ เคยเจอตอนสมัครแอร์ Arabia เมื่อ 3 ปีที่แล้วด้วยกัน รู้จักกันจากเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน อีกแล้วววว โลกเรามันกลมมาก นี่แหละน้า .. ที่เค้าถึงบอกว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม )
สำหรับฝน การมาสมัครครั้งนี้ แล้วตกรอบ รู้สึกเสียดายโอกาส แต่ไม่เสียใจ แต่กลับดีรู้สึกเหมือนกับเราได้มาเปิดโลกกว้าง เห็นบริษัท เห็น Process การทำงาน เห็น Process การทำงานของทีม Recruitment เห็นความพยายาม และความสง่าของผู้สมัคร ถือหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ชีวิต เท่านี้เรามองว่ามันคุ้มแล้ว
แต่เสียดายอีกอย่างคือ เสียดายเงิน เพราะบินมาสมัครซะไกล ตอนตกรอบ คำแรกที่วนเวียนขึ้นมาในหัวเลยคือ “ การลงทุนมีความเสี่ยง โปรดศึกษาก่อนทำการลงทุน “ (กร๊ากกกกก) เพราะฉะนั้น ไหนๆ ก็ตกรอบแล้ว เสียค่าวีซ่าเข้าประเทศมาแล้ว ก็อยู่เที่ยวในเมืองต่อเลยแล้วกันเนอะ!
เริ่มขั้นตอนสายการบิน Etihad กันเลยนะ
1. CV Drop
หลังจากเข้าไปในห้องสมัครแล้ว เข้าคิวเพื่อยื่น Resume กับกรรมการ (มีทั้งหมด 4 คน) พอมาถึงตาเรายื่นแล้ว ก็ยืนรอจนกว่ากรรมการจะเรียก (อย่าเดินพรวดพราดเข้าไป) เดินอย่างมั่นใจ ยิ้มหวานไปถึงหน้ากรรมการ แล้วก็ขออนุญาตกรรมการก่อนว่า May I have a Seat ? (เท่านี้ก็ได้คะแนนสร้าง First Impression แล้ว) กรรมการถามทวนคำถาม เลขสมัครนี้ใช่มั้ย ชื่อนี้ใช่มั้ย ทำงานอะไร บินมากี่ปีแล้ว?
2. Arm reach (เอื้อมแตะ)
แล้วให้เดินไปเอื้อมแตะ 210 ซม. หลังจากนั้นก็บอกให้กลับไปรอที่ห้อง
3. ดู Presentation
หลังจากนั้นดู Presentation เกี่ยวกับสายการบินประมาณ 10 นาที ระหว่างที่ดูก็ต้องทำหน้าตั้งใจดูนะ อมยิ้ม ส่อแววตาว่า เรามาเพื่ออยากจะร่วมงานกับสายการบินเค้าจริงๆ อยากจะเป็นส่วนหนึ่ง เป็นลูกเรือทำงานให้กับสายการบินเค้า อย่านั่งเล่นมือถือ คุยกับเพื่อนได้พอประมาณ (แต่ไม่คุยดีกว่า) นั่งยืดหลังตรง และที่สำคัญห้ามนั่งแคะขี้ฟัน ! 555555
4.Paperwork
ดู Presentation จะมีข้อสอบให้ทำ (คล้ายๆ โทอิคแต่ง่ายกว่า) โดยให้เวลาประมาณ 20 นาที ข้อสอบแบ่งเป็น 4 พาร์ท
- Grammar 10 ข้อ
- มีบทความให้อ่าน แล้วเลือกคำตอบที่ถูกต้องที่สุด 4 ช้อยส์ 5 ข้อ
- มีบทความให้อ่าน เลือกเติมคำในช่องว่าง ให้ Match กับศัพท์ที่ให้มา 10 ข้อ
- มีบทความให้อ่าน แล้วเขียนคำตอบสั้นๆ ประมาณ 1 บรรทัด 5 ข้อ
5. Public Speaking (แนะนำเพื่อน)
เป็นครั้งแรกที่เราเคยเจอ Assessment แบบนี้ เพราะสมัยก่อนสายการบินที่สมัครไม่มีอันนี้ ส่วนใหญ่จะเป็น Small Talk คุยตัวต่อตัวกับกรรมการซะมากกว่า
กรรมการจะให้เวลาเรา จับคู่ 2-3 คน กับเพื่อนที่นั่งข้างๆ คุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กันประมาณ 5 นาที หลังจากนั้น ถึงเวลาพรีเซนต์เพื่อนข้างๆ โดยเริ่มจากคู่แรกของห้อง จนไปถึงคู่สุดท้าย
พูดสั้นๆ เพียงแค่ว่า ชั้นชื่อนี้ หมายเลขนี้ เพื่อนข้างๆ ชั้นชื่อนี้ หมายเลขนี้ จุดเด่นที่เราต้องการจะพูดเกี่ยวกับเพื่อน ประมาณ 1-2 ประโยค (กรรมการเน้นย้ำว่า ให้พูดเกี่ยวกับเรื่องเพื่อน! ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง และอย่าพูดนาน เพราะคนเยอะเดี๋ยวจะใช้เวลานาน)
แต่ละคู่ผ่านไปเรื่อยๆ บางคู่พูดได้น่าสนใจ ทำได้ดี บางคนก็พูดแต่เรื่องตัวเอง หรือบางคนพูดเรียบๆ ไม่น่าสนใจเท่าไหร่นัก เรื่องส่วนใหญ่ที่พูดกัน คือ ทำงานที่ไหน อายุเท่าไหร่ Hobby หรือ Activity ยามว่างชอบทำอะไร ประสบการณ์ชีวิต เช่น เป็น Ex-crew ชอบ Sky Driving ชอบออกกำลังกาย ชอบทำอาหาร พูดได้กี่ภาษา อันนี้แล้วแต่ว่าเราจะดึงจุดไหนของเพื่อนมาพูดเลย
เราได้คู่เป็นคน Morroccan ชื่อ Hajar พอมาถึงตาเรา ก็ยืนขึ้น (เพิ่งมานึกออกตอนตกรอบว่า ยืนกางขา! ด้วยประสบการณ์ที่อาศัยในเมืองแขกมาเกือบ 3 ปี จึงมีความดิบ และความเถื่อนในตัวที่สูงขึ้นมาก 55555)
เราพูดสั้นๆ ไปเพียงแค่ว่า ฮาจาร์ชอบท่องเที่ยว เธอเคยไปท่องเที่ยวอินเดีย 3 อาทิตย์ และเลบานอนอีก 4 วัน เวลาว่างของเธอ เธอชอบว่ายน้ำมาก (3-4 ครั้งต่ออาทิตย์) ชั้นจึงไม่แปลกใจเลย ว่าทำไมเธอถึงได้ดูแข็งแรง สุขภาพดี และมีรูปร่างที่สมส่วน (แอบสั่นนิดๆ รู้สึกเกร็งๆ ตอนที่มีสายตายของเพื่อนๆ 200 กว่าคู่จับจ้องมาที่เรา)
** เท่าที่รู้มา Trick ในการแนะนำเพื่อนคือ เวลาแนะนำเพื่อน ให้มองตาเพื่อน พร้อมกับมองตาเพื่อนร่วมห้อง พยายามดึงจุดเด่นของเพื่อน ให้ชมเพื่อนไว้ก่อน ห้ามด่าเด็ดขาด
** บางคนพูดว่า She is my partner in crime (เห็นคนที่พูดนี่ตกรอบนะ อันนี้เก็บไว้ใช้พูดเล่นกันดีกว่า)
** บุคลิกตอนที่ยืนพูดก็สำคัญ ใช้ภาษามือให้เหมาะสม
** ดอกจันทร์ตัวโตๆ ว่า กรรมการเอธิฮัดชอบผู้สมัครที่มั่นใจเเละเป็นตัวของตัวเอง ถ้าเกิดทำให้กรรมการ Click ได้ รับรองว่า ไฟนอลรออยู่ไม่ไกล เเต่ทำอย่างไร ?? นี่ฝนก็กำลังหาคำตอบอยู่เหมือนกัน เเต่รู้ตัวเองเเต่เเรกว่า กรรมการไม่คลิ๊กเดี๊ยนเลยยย จะกลับบ้านไปย้อมหัวทอง หึหึ
6. ฟังแนะนำสายการบิน
สายการบินเอธิฮัดเปิดตัวเชิงการค้าปี 2003 ระยะเวลา 12 ปีผ่านมา ถือเป็นอีกสายการบินหนึ่ง ที่เจริญเติบโตแบบก้าวกระโดด (มาก) ตอนนี้มี 112 Destinations และมีเครื่องบินกว่า 100 ลำ และจะเปิดรูทใหม่ปีนี้ ได้แก่ แมดริด ฮ่องกง จีน และอีก 5-6 ที่ ภายในปีนี้
มีวิดีโอ เครื่องบิน เฟริสคลาส สวีทคลาส Apartment ให้ดู คือสร้างได้หรูหราสมกับเป็นเมืองแขก มีเลาจน์ ห้องรับแขก ห้องน้ำ ห้องส่วนตัว ราวกับยกโรงแรมมาไว้บนเครื่องบิน!
หลังจากนั้นรอประกาศผล ปรากฏว่าไม่ได้ไปต่อค่ะ !!
หากถ้าได้ไปต่อ Process ต่อไปก็คือ
7. Group Discussion แบ่งกลุ่ม เป็นกลุ่มละ 5 คน ให้จัด Trip ท่องเที่ยวมายังประเทศใดก็ได้
8. Final interview
หลังจากนั้นรอผลได้เลยทางอีเมลล์ อาจจะประกาศผลวันนั้นเลย หรือไม่เกิน 4 วันค่ะ
🙂 😳 😥 😀