The negative side.
มุมลบๆ ของการเป็นแอร์
โดย : Pokky Akahat
(Lightingstar Crew)
วันนี้อยู่ๆ ก็มีความรู้สึกว่า อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ที่ไม่เคยได้พูดคุยกับใครมาก่อน สาเหตูก็คือ เมื่อวานค่ะ ตามตารางคือ ครูป้อกกี้มีไฟลท์ต้องบินไป โดฮา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของ ประเทศกาตาร์ ต้องตื่นนอนตอนประมาณบ่ายๆ เพราะ ต้องไปรายงานตัวที่ตึกก่อนไปบิน เวลารายงานตัวคือ 5 โมงเย็น เตรียมตัวออกจากบ้านเผื่อรถติด 1 ชั่วโมง แต่พอออกจากบ้านถึงถนนใหญ่ก็สังเกตเห็นว่า สภาพอากาศมันมีพายุฝุ่นทราย ทำให้แทบขับรถไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นเท่าไหร่ แต่ก็ต้องฝืนขับไป เพราะเราไม่สามารถเบี้ยวงานได้
ยิ่งขับรถไปถึงครึ่งทางยิ่งเริ่มพะวงว่า ไฟลท์วันนี้ต้องมีดีเลย์แน่ๆ เพราะตามสภาพแล้ว เครื่องบินไม่น่าจะขึ้น หรือลงได้ในสภาพอากาศแบบนี้ แต่พอไปถึงที่ทำงาน เข้าห้องประชุมกัปตันก็บอกลูกเรือว่า “ไม่เป็นไร ทุกคนไม่ต้องห่วง อากาศแบบนี้สบายมาก” เราก็โอเค เราคงคิดมากไป
มืดฟ้ามัวดิน น่าจะบอกให้เห็นชัดเจนมากขึ้น
น่ากลัวมากกับพายุทะเลทรายที่เกิดบ่อยในแถบตะวันออกกลาง
จาก ดูไบ ไปถึง โดฮา ใช้เวลาบินแค่ 47 นาที เร็วและใกล้มาก ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ลุกเรือแอปปี้ ลั้ลลา ส่งผู้โดยสารออกจากเครื่องหมดแล้ว จากนั้นพวกเราก็เตรียมเครื่อง เพื่อให้พร้อมรับผุ้โดยสารจากโดฮา กลับดูไบ ขากลับทุกอย่างพร้อม ทุกคนเริ่มทยอยขึ้นเครื่อง ลูกเรือแจกผ้าร้อนเสร็จ เตรียมนั่ง จู่ๆ กัปตันก็ประกาศว่า “ดูไบแอร์พอร์ตปิดระงับการขึ้นลงของเครื่องบินแบบไม่มีกำหนด” อ้าววว… ทุกคนมองหน้ากันเลิ่กลั่ก เพราะอีกแค่ 45 นาทีก็จะได้กลับไปนอนพักกันแล้ว
แต่นี่คืออะไร? กัปตันประกาศต่อว่า “เพราะสภาพพายุฝุ่นทราย ทำลายทัศนวิสัยการนำเครื่องขึ้น ลง และยังมีพายุ ซึ่งเราจะไม่เสี่ยงนำเครื่องขึ้นเด็ดขาด” สรุป รอ รอ รอ แล้วก็รอ ผ่านไป 1, 2, 3, 4 ชั่วโมง จนแล้วจนรอดกัปตันก็ประกาศเรื่อยๆ ว่า “ตอนนี้ยังไม่มีอะไรอัพเดท” ลูกเรือต้องเสริฟน้ำ เสริฟแซนวิช เท่าที่มี เพราะเรามาไฟลท์สั้น เสบียงน้อย เสริฟกันตามมีตามเกิด
ผู้โดยสารหลายคนทนไม่ไหว โวยวาย พวกเราก็ต้องไปรับฟัง และช่วยให้ข้อมูล หลายคนเข้าใจ ก็ได้แต่รอแบบเงียบๆ 4 ชั่วโมงกว่าผ่านไป จนในที่สุดเสียงกัปตันก็ประกาศว่า เราได้รับข่าวดีว่า จะออกเดินทางภายใน 45 นาทีนี้ ให้ทุกคนเตรียมตัว ลูกเรือก็จัดการเก็บครัว ดูแลผู้โดยสารให้กลับเข้าที่นั่ง เตีรยมนำเครื่องขึ้น พอเครื่องออกจากโดฮา กัปตันประกาศต่อว่า “จะไม่มีการลุกออกจากที่นั่ง และ ลูกเรือจะไม่ทำเซอร์วิส ตลอด 45 นาที เพราะเราต้องบินฝ่าพายุ สภาพอากาศย่ำแย่มาก”
เรานั่งอยู่บนที่นั่งลูกเรือแบบกระวนกระวายกันอยู่ 1 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งนานกว่าชั่วโมงบินไป เกือบครึ่งชั่วโมง แล้วเสียงกัปตันก็ประกาศบอกให้เตีรยมตัว เพราะกำลังจะนำเครื่องลง ตลอดระยะเวลาที่นั่งมา เครื่องบินสั่นโคลงเคลงตลอดเวลา เป็นอะไรที่ทรมานมาก แต่จากประสบการณ์ของพวกเรา นั่นก็คงเป็นเรื่องปรกติ เพราะมันเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในชีวิตของการเป็นแอร์ มากว่า 12 ปี ที่ขนลุก และกลัว อดคิดถึงเหตุการณ์ของสายการบินอื่น ที่เจออุบัติเหตุ ทำให้เรารู้ซึ้งถึงวินาทีสุดท้ายของเหล่าสตาฟได้ว่า พวกเค้าก็คงมีความรู้สึกแบบที่เราเป็นอยู่ในตอนนี้ มันเป็นการสวดมนต์ครั้งแรก บนที่นั่งของลูกเรือของครูป้อกกี้ ก่อนที่เครื่องบินจะไต่ระดับลงแตะพื้น สภาพของพวกเราไม่ต่างอะไร กับการเล่นรถไฟเหาะ ขึ้น ลง ขึ้น ลง เสียงคนกรี๊ด เสียงคนสวดมนต์ และ หลังจากนั้น ก็กลายเป็น เงียบ เงียบกริบทั้งเคบิ้น จนทำให้พวกเรา ลูกเรือ ทั้งทีม ขนลุก และ ได้แต่มองหน้ากัน
สุดท้ายกัปตันก็นำเครื่องลง หรือ แทบจะเรียกว่า กระแทกก้นลง ได้อย่างปลอดภัย… โล่งกันทั้งลำ
อารมณ์พึ่งรอดตายค่ะ ขับรถกลับบ้านคนเดียว ตอนตี 5 สภาพอากาศเลวร้ายกว่าเมื่อตอนบ่าย ที่ออกจากบ้านมา พอเรามองไม่เห็นอะไรข้างหน้า เพราะโดนฝุ่น หรือหมอก ปกคลุมเส้นทาง มันทำให้เรารู้สึกเหมือนกับว่า เราจะเอาอะไรมากกับวันพรุ่งนี้ วันนี้ ตอนนี้ ต่างหากที่เราต้องสนใจ หนทางข้างหน้าไม่มีใครที่รู้ได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้เคยเกิดขึ้นกับคุณผู้อ่านบ้างมั้ยคะ