ติดปีก (2) : Group Interview

ลังจากตะโกนลั่นห้องว่า “ได้แล้วๆ” `เนี่ย อุปสรรคสำคัญก็รออยู่เบื้องหน้า กว่าจะได้ติดปีกครับ

การคัดเลือกใน รอบที่สอง เท่าที่หาข้อมูลมาคร่าวๆ จากเวปไซต์ เค้าบอกกันว่า รอบแรกจะเป็น Group Discussion รอบที่สองเป็นการทดสอบภาษาอังกฤษ ปิดท้ายด้วย Group Discussion อีกครั้งนึง และทดสอบทางจิตวิทยาเล็กน้อย ซึ่งจริงๆ ต้องขอบคุณเพื่อนๆ ที่ไปสัมภาษณ์ในวันเสาร์มาแล้ว มาบอกข้อมูลว่า สัมภาษณ์เป็นอย่างไร ทำให้เตรียมตัวซ้อมไปก่อนได้บ้างนะครับ

จากข้อมูลในอีเมล์ แนะนำให้เราเข้าไปกรอกใบสมัคร ในเวปไซต์ของสายการบิน และจำหมายเลขใบสมัครไปด้วย พร้อมรูปถ่าย แต่ถึงเวลาจริงใช้แค่รูปถ่ายก็พอครับ

วันที่นัดสัมภาษณ์ก็คือ สองอาทิตย์ ถัดจากวันยื่นเอกสารครับ คราวนี้เราจะได้พบกับ Recruitment Team ตัวจริง จากทางสายการบินกันซะทีครับ การสัมภาษณ์ก็จะแบ่งผู้เข้ารอบออกเป็นสองกลุ่ม สัมภาษณ์กันคนละวัน โดยใช้เวลาทั้งวัน เพราะฉะนั้นแล้ว ก็ควรจะเตรียมร่างกายให้พร้อม นอนไม่ดึกแล้วก็ทานข้าวเช้ามาด้วย ก็จะดีครับ แต่จำได้ว่าคืนก่อนนั้น นอนไม่หลับเลยครับ ต้องเผชิญกับความตื่นเต้น และความกลัวว่าจะต้องทำอย่างไร ในหัวคิดแต่ว่า… จะตอบคำถามยังไงอย่างเดียวเลยครับ

พอถึงวันสัมภาษณ์แล้ว สิ่งที่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง คือการไปตรงต่อเวลา ครับ หรือถ้าไปก่อนเวลาได้ ก็จะดีมาก ในรอบนี้เราสัมภาษณ์กันที่ โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ สีลม ถ้าไม่รู้จักก็ควรทำการบ้านมาก่อนว่า จะเดินทางยังไง ใช้เวลากี่นาที เพราะการที่เราไปสายแม้นาทีเดียว ประตูห้องสัมภาษณ์อาจจะปิด โดยไม่รอเราก็ได้ เหมือนเครื่องบินที่ไม่รอเรา ถ้าเราไปช้าครับ^^ บรรยากาศก็คึกคักดีครับ แต่งเต็มมากันทุกคน คุณพ่อ คุณแม่ คุณแฟน มาให้กำลังใจกันใหญ่ ส่วนเรามาคนเดียวครับ เศร้าๆ Y_Y

ไปถึงแล้วก็รอสักพักนึง ก็จะมีผู้ประสานงานที่เดาว่า มาจากทางตัวแทนคัดเลือกรอบแรก จะมาคอยช่วยเหลือเราในทุกๆ รอบครับ ในช่วงเช้านี้ ก็จะให้เรารับป้ายชื่อติดหน้าอก ซึ่งจะมีหมายเลขอยู่ด้วย สำคัญมากครับ เพราะกรรมการจะไม่เรียกชื่อเรา เวลาประกาศผล จะขานแต่หมายเลข แล้วก็ต้องมากรอกเอกสาร และติดรูปถ่ายไปด้วยครับ

เก้าโมงตรง กรรมการก็เรียกเราเข้าห้องไปนั่งรวมๆ กัน เท่าที่สังเกตรอบนี้มีประมาณ 80 – 90 คนครับ เป็นผู้ชายซะห้าคนเท่านั้น เข้าไปถึง ก็จะเป็นการเปิดวิดีโอเกี่ยวกับสายการบิน ผลิตภัณฑ์ ชีวิตและความรู้สึกของลูกเรือ ที่ได้เข้ามาทำงานกับสายการบินของเรา ซึ่งมันก็ทำให้ความอยากร่วมงาน กับสายการบินพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเลยหล่ะครับ หลังจากนั้นก็จะเป็นการ Talk ถามตอบข้อสงสัยต่างๆ ถ้ามีนะครับ ซึ่งก็มีคนถามพอสมควร

บางคนก็ถามแบบไม่น่าถาม เดาว่าเค้าอาจจะคิดว่า เพื่อให้กรรมการจำได้มั้งครับ แต่โดยส่วนตัวผมว่าไม่เกี่ยว จำหน่ะจำได้จริง แต่จำในแง่ดีหรือแง่ร้ายหล่ะ หรือถ้าจำได้ เค้าอาจจะจับตาดูเรามากขึ้น ถ้าบังเอิญทำพลาดไป ยิ่งเป็นเหมือนแผลใหญ่ยากเกินเยียวยาหล่ะครับ ทางที่ดีไปทำให้เค้าจำได้ และเห็นเราในการสัมภาษณ์จริงดีกว่าครับ ตอนนั้นก็จำได้ว่านั่งเกือบหลังห้อง เงียบอย่างเดียวเลยครับ

เรียบร้อยแล้ว ก็จะแบ่งพวกเราออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ด้วยกันเรียงตามหมายเลข เพื่อทำ group discussion โดยเรียกสองกลุ่มแรกเข้าไปก่อน แล้วก็ตามมาด้วยสองกลุ่มหลัง ผมอยู่กลุ่มสี่ก็เลยได้เข้าไปทีหลังครับ

ในรอบนี้กรรมการให้โจทย์มา ให้เราถามเพื่อนที่นั่งทางขวาของเรา เป็นภาษาอังกฤษว่า ถ้าเกิดหายตัวได้หนึ่งวันจะหายตัวไปที่ไหน เพราะอะไร และถ้าเป็นสัตว์ได้หนึ่งชนิดจะเลือกเป็นอะไร เพราะอะไร โดยในระหว่างทีเราถามตอบกันนั้น กรรมการจะเรียกเราออกไปทีละคน เพื่อเอื้อมแตะที่ความสูง 212 เซนติเมตร ซึ่งถือเป็น Requirement ของลูกเรือที่นี่ จึงไม่แปลกที่เราจะเห็นลูกเรือบางคนตัวเล็กมากๆ ครับ ในระหว่างที่ออกไปเอื้อมแตะ กรรมการก็จะชวนคุยกับเรานิดหน่อย ด้วยคำถามที่แตกต่างกัน

อย่างผมโดนถามว่า ชอบ presentation ตอนไหนมากที่สุด เพราะอะไร (ก็ตอบไปว่า ชอบตอนที่เกี่ยวกับ A380 เพราะว่าแสดงถึงความทันสมัย มีความพิเศษ ไม่เหมือนใคร ที่แสดงถึงความใส่ใจต่อผู้โดยสารที่มาใช้บริการ) เพื่อนที่ไปด้วยกันได้คำถามว่า หนังสือที่อ่านเล่มล่าสุดคืออะไร ชอบตอนไหน ได้อะไรมาบ้าง จากนั้นกรรมการก็จดยิกๆ ลงในกระดาษแล้วก็ปล่อยให้เรากลับไปนั่งที่

พอครบทุกคน กรรมการก็จะเดินมาฟังการพรีเซนต์อีกกลุ่มหนึ่ง อย่างถ้ากรรมการมาเอื้อมแตะกลุ่มสาม ก็จะมาฟังพรีเซนต์กลุ่มสี่ และ vice versa แต่ละคนก็ต้องลุกขึ้นยืน พรีเซนต์ข้อมูลของเพื่อนข้างๆ ที่เราถามมา ทำแบบนี้ไปจนครบทุกคนในกลุ่ม บางคนพูดสั้นบ้างยาวบ้าง บางคนตอบดี บางคนตอบไม่ค่อยดีก็ปนกันไปครับ แล้วกรรมการก็เชิญให้เราออกไปรอด้านนอก เพื่อรอรับผล

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา กรรมการก็เรียกพวกเราทุกกลุ่มเข้ามาในห้องประชุมอีกครั้ง เพื่อรับผลว่าใครผ่านหรือไม่ผ่าน

วิธีการประกาศผลก็จะเรียกตามหมายเลข พอได้รับแล้วก็ให้เดินออกไปดูผลด้านนอก ถ้าใครที่ผ่านก็ให้ไปลงชื่อกับคุณผู้ช่วย ถ้าใครที่ไม่ได้ก็เก็บกระดาษนั้นไว้ แล้วกลับไปทานข้าวเที่ยงที่บ้านได้เลย ก่อนแจก กรรมการก็ขอร้องให้พวกเรา ถ้าผ่านเข้ารอบ ก็อย่าแสดงความดีใจจนเกินงาม ออกหน้าออกตา ขอให้คิดถึงจิตใจของคนที่ไม่ผ่านเข้ารอบบ้าง รวมถึงขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาร่วมการคัดเลือกในครั้งนี้ด้วย รวมถึงขอร้องไม่ให้กลับมาถามกรรมการว่า ทำไมถึงไม่ได้ เหตุผลคืออะไร จากนั้นกรรมการก็ขานหมายเลข แต่ละคนก็เดินออกไปรับผล ซึ่งจะเป็นกระดาษขนาดครึ่ง A4 พับครึ่งเพื่อปิดผลไว้ก่อน ส่วนหัวกระดาษที่เห็น ก็จะเป็นตราบริษัท และหมายเลขของเรา

เปิดออกมา ยอหน้าแรกเหมือนกันทุกคน นั่นคือ ขอบคุณที่สละเวลามาร่วมคัดเลือกกับทางสายการบิน… ส่วนย่อหน้าที่สองเนี่ยแหละครับ ที่จะลุ้นกันมากๆ ไม่เป็น congratulations ก็จะเป็น regret ซึ่งเนื้อความของคนที่ไม่ได้นี่ ก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงเหมือนกัน เพราะไม่ได้ขอดู ประกอบกับไม่กล้าดูด้วย กลัวตกรอบ^^

พอเปิดมาว่า เข้ารอบก็ดีใจมากแล้ว เพราะคิดว่า ยังไงรอบเนี่ยผู้ชายก็น่าจะยาก อีกอย่าง Group ก็ไม่เคยทำ เพราะทุกครั้งที่ไปสมัครไม่เคยเข้ารอบกับเค้าเลย ก็อาจจะมีสิทธิ์หลุดได้ง่ายๆ กระโดดกอดกับเพื่อนที่มาด้วยกันเลย ดีใจสุดๆ หลังจากนั้นก็เดินไปลงชื่อกับคุณผู้ช่วย ในรอบนี้ ผู้ชายห้าคน รอดมาได้แค่สาม ผู้หญิงก็กลับไปประมาณ 30% ได้ จากนั้นกรรมการก็นัดเวลา ให้พวกเราไปทานข้าวเที่ยง แล้วกลับมารอบต่อไป

ในรอบนี้ ก็จะเป็นรอบทดสอบภาษาอังกฤษ หลังจากเรียกทุกคนกลับเข้ามาในห้องแล้ว ก็จะให้นั่งที่โต๊ะ ซึ่งบนโต๊ะมีแบบทดสอบวางอยู่ แต่ว่าสลับชุดกัน ข้อสอบแบ่งเป็น 2 part คือ multiple choice และ essay สำหรับ multiple choice ก็จะเป็นการอ่านจับใจความ อ่านตีความ และความหมายคำศัพท์ ซึ่งก็ถือว่าไม่ยากมากนัก ประมาณว่าวัดความเข้าใจเป็นหลัก ส่วน Essay นี้ กรรมการให้หัวข้อมาใหม่ ซึ่งไม่ใช่หัวข้อที่พิมพ์มาในข้อสอบ โชคดีมากที่ได้หัวข้อเกี่ยวกับ Innovation โดยคำถามคือ

“What is the meaning of innovation? Have you been innovative? How would you tribute your innovative to the Airline? ”

ในส่วนของการเขียนนี้ ก็เขียนความยาวขั้นต่ำหนึ่งหน้า A4 จะเขียนมากกว่านั้นก็ได้ ตามใจชอบ ซึ่งก็ควรจะเขียนให้ครบตามคำถามที่ถาม และอยู่ในประเด็นครับ อย่างที่แอบเห็นเพื่อนข้างๆ เขียน (ไม่ได้ลอกนะครับ) เขียนไปนู๊นเลยครับ เรื่องน้ำมัน พลังงานแสงอาทิตย์ ดูจะออกทะเลไปเยอะเหมือนกัน…

เรียบร้อยแล้ว ก็ให้เวลากรรมการตรวจข้อสอบกันซักหนึ่งชั่วโมงครับ ก็ให้พวกเราออกไปพัก เติมพลังกันหน่อย เริ่มจะเหนื่อยแล้ว ใครว่าไม่เหนื่อย ไม่จริงครับ ส่วนคนที่เหนื่อยที่สุด ก็คงไม่พ้นกรรมการทั้งสองท่านครับ ระหว่างที่เราเขียนข้อสอบ ก็เป็นเวลาข้าวเที่ยงของทั้งสองคน ซึ่งก็ล่วงเลยเป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้วครับ

หลังจากได้เวลานัด ก็เรียกพวกเราเข้าไปในห้องอีกครั้ง เพื่อแจกผล คราวนี้กรรมการก็ทิ้งท้ายไว้ว่า สำหรับคนที่ไม่ผ่าน ก็น่าจะรู้ว่าเหตุผลคืออะไร ต้องไปปรับปรุงอะไรบ้าง เช่นเคยก็ขานหมายเลข คนที่ผ่านก็อยู่ต่อ คนที่ไม่ผ่านก็กลับไปทานข้าวเย็นที่บ้านได้ สำหรับรอบนี้ความรู้สึกก็คือ มั่นใจอยู่บ้าง เพราะภาษาอังกฤษเราก็ไม่ได้ด้อยคุณค่าขนาดนั้น แต่อีกใจก็คิดว่า อย่ามั่นใจมากไป ตกลงมาแล้วจะเจ็บ เพราะว่า ถ้าตกรอบภาษาอังกฤษนี่คงกลับบ้านร้องไห้แน่ๆ เพราะอายคนอื่น ผู้ชายที่เข้ามาได้สามคน ตอนนี้เหลือสองคนละ ผู้หญิงก็กลับไปประมาณยี่สิบคนเห็นจะได้

หลังจากนั้นก็เรียกพวกเราไปอีกครั้งนึง คราวนี้แบ่งเป็น 5 กลุ่มกลุ่มละ 9 คน เพื่อทำ Group Discussion รอบสุดท้าย กลุ่มนึงจะใช้เวลาประมาณสามสิบนาที เพราะฉะนั้นก็จะต้องพูดกันมากขึ้น ฟังกันมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้นด้วยครับ คราวนี้จะนัดเวลากันเสร็จสรรพ รวมถึงกลุ่มไหนทำ group เสร็จแล้วก็จะประกาศผลเลย จะได้กลับบ้านกันไม่ดึก สำหรับคนที่ไม่ผ่าน

ก่อนที่จะเข้าห้องไป ก็ได้คุยกับเพื่อนๆ ร่วมกลุ่ม เพื่อนๆ ก็บอกว่า ยังไงอย่าพยายามขัดกัน ให้สนับสนุนความเห็นของกันและกัน รวมถึงช่วยกันติวคำตอบก่อนที่จะเข้าไปด้วย เพราะไปถามเพื่อนกลุ่มก่อนหน้านั้นมาว่า คำถามคืออะไร อย่างคำถามที่ได้ยินมาก็จะเป็นแบบ “ถ้าโลกแตก จะเลือกอาชีพอะไรให้ไปกับยานอวกาศ” เป็นต้นครับ

สำหรับกลุ่มแรกที่เข้าไป ผลปรากฎว่า ผ่านเข้ารอบทั้งแปดคนเลย กลุ่มที่สองกับสามนี่… ก็มีตกรอบไปกลุ่มละสามคนบ้าง สองคนบ้าง พอถึงกลุ่มเรา ก็เข้าไปด้วยอาการสั่นสู้… เล็กน้อย

เข้าไปถึงนั่งเป็นวงกลม กรรมการบอกว่า คิดว่าน่าจะไปถามคำถามมาจากกลุ่มอื่นๆ แล้ว ก็เลยต้องขอเปลี่ยนคำถามใหม่ โดยคำถามคือ ถ้าในกลุ่มนี้มีเพียง 3 คนที่จะได้เป็นลูกเรือ ใครควรจะเป็นสามคนนั้นมากที่สุด” โดยวิธีการคือ ให้แต่ละคนพูดโน้มน้าวให้เพื่อนๆ เลือกตัวเองให้เป็นหนึ่งในสามคนนั้นให้ได้ โดยกรรมการจะคอยนั่งอยู่ด้านนอกวงสนทนา สังเกตและจดบันทึกคำพูดของเราลงไปในกระดาษ

พอเริ่ม พวกเราก็เหมือนจะพลาดๆ กันเล็กน้อย เพราะว่าเราผิดประเด็นกันไป จากทีให้พูดโน้มน้าวใจ ตอนนี้กลายมาเป็นว่า มุ่งความสนใจไปที่การ Discussion กันว่าใครควรจะเป็นสามคนนั้นมากกว่า จนกรรมการต้องหยุดกิจกรรม และอธิบายโจทย์ใหม่ ซึ่งก็ทำให้พวกเราใจหายไปเยอะเหมือนกัน เพราะว่าทำผิดโจทย์ หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่ม discussion กันใหม่ โดยแต่ละคนก็พูดข้อดีของตัวเอง โชคดีที่กลุ่มเราสามัคคีกัน คือไม่มีใครพูดคนเดียว ทุกคนพูดเรียงกันเป็นลำดับ ได้พูดกันทุกคน หรือถ้ามีการพูดชนกันกลางอากาศเราก็จะให้เกียรติกัน ในเชิงแบบเธอพูดก่อนก็ได้ ประมาณนี้ครับ

แต่ละคนก็พูดถึง ความสามารถของตนเองออกมา บางคนพูดได้หลายภาษา บางคนเคยทำงานด้านการบริการมาก่อน บางคนเป็นคุณครู ก็จะพูดถึงลักษณะนิสัยส่วนตัวของตัวเองที่คิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์ต่องานลูกเรือ ส่วนเราก็พูดว่า เราเป็นคนเตรียมตัวนะ เราหาข้อมูลมาตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย อยากเป็นอาชีพนี้ เรารักงานนี้ เป็นต้นครับ

พูดกันไปครบพร้อมๆ กับหมดเวลา กรรมการก็เข้ามาเบรกอีกครั้ง ด้วยพลังอำมหิต โดยการบอกว่า “นี่คือทำดีแล้วเหรอ พูดกันได้แค่นี้เหรอ ถ้าจะบอกว่าเคยเสิร์ฟอาหารมาก่อน ชั้น (กรรมการ) ก็เคยเป็นถึงบาร์เทนเดอร์มาก่อน” ประมาณว่า สิ่งที่เราพูดไปมันยังไม่โดนใจ อีกอย่างกรรมการก็พูดไปในเชิงว่า ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยกับสิ่งที่เพื่อนพูดมาทั้งหมดหรอกนะ จะขัดบ้าง แย้งบ้างก็ได้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครในกลุ่มที่แย้งความคิดเพื่อนเลย สรุปสุดท้าย เราก็จำเป็นต้องเสนอชื่อเพื่อนมาสามคน โดยมีตัวแทนพูดว่าเลือกใคร เพราะอะไร…

ก่อนออกจากห้อง กรรมการทิ้งท้าย ให้หัวใจประหม่าว่า “ลองกลับไปคิดดูดีๆ นะว่าอยากทำอาชีพนี้มั้ย เพราะที่แสดงออกมาตอน discussion ยังไม่ประทับใจเค้ามากเท่าที่ควร” แล้วก็เชิญเราออกจากห้อง รอคำพิพากษา พอออกมาทุกคนก็มาคุยกันว่า เฮ้ย…เรายังทำได้ไม่ดี แต่เราทุกคนก็ภาวนาว่า ขอให้ได้ผ่านเข้ารอบต่อไปก็แล้วกัน แถมเรายังคิดในแง่บวกอีกว่า ถ้ามีกลุ่มที่ผ่านได้ทั้งหมด กลุ่มเราก็อาจจะผ่านได้หมดเหมือนกัน

หลังจากนั้น กรรมการก็เชิญเข้าไปในห้อง ปกติในมือของกรรมการจะมีใบประกาศผลอยู่ แต่ว่าคราวนี้ไม่มี เราก็เครียดละ กรรมการถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “คิดว่าที่ทำไปเป็นยังไง” ก็ไม่มีใครตอบ “คิดว่าทำได้ดีแล้วเหรอยัง” ก็ไม่มีใครพูด ทุกคนนิ่ง น้ำตาคลอ (ฮือๆ เบาๆ) พร้อมจะร้องไห้แล้ว แต่สุดท้ายกรรมการก็บอกว่า “Unfortunately, you all have passed to the next round” ได้ยินเท่านั้นแหละ ทุกคนกรี๊ด กระโดดกอดกันกลม บางคนร้องไห้เลยก็มี เพราะวินาทีนั้นมันเครียดมาก กลัวจะตกรอบกันหมดทั้งกลุ่ม เพราะกรรมการพูดรวมๆ แถมยังทำหน้าเครียดใส่อีก แล้วเราก็หันไปขอบคุณกรรมการทั้งสองท่าน ที่ใจดีให้เราเข้าสู่รอบสุดท้ายกันทุกคน… พวกเราก็ไม่ลืมขอบคุณกรรมการทั้งสองคน กรรมการก็เข้าใจแกล้ง แล้วก็ขอโทษพวกเราด้วย เค้าอยากแกล้งเฉยๆ ^^

ออกมาด้านนอก เพื่อนๆ ก็ถามใหญ่ว่าเป็นอะไรกัน กรี๊ดขนาดนั้น ก็เลยบอกว่าเข้ารอบทุกคน บางคนยังร้องไห้ไม่หยุด โทรบอกที่บ้านบ้างก็มี เพราะจริงๆ แล้วผ่านรอบนี้ได้ ก็เหมือนกับโอกาสอยู่แค่เอื้อมแล้ว เพราะเหลือแค่ final interview ก็จะได้เป็นลูกเรือแล้ว ส่วนเราก็โทรบอกพี่ที่รู้จักกันว่าเข้ารอบแล้ว ดีใจมาก…

หลังจากทำครบห้ากลุ่มแล้ว ก็เข้ามาเพื่อกรอกเอกสารขั้นสุดท้าย เป็นเอกสารก่อนการรับเข้าทำงาน ให้กรอกที่อยู่ ข้อมูลส่วนตัวใหม่หมด รวมถึงชี้แจงเรื่องเอกสารที่ต้องนำมาในวันสัมภาษณ์ รวมถึงลงตารางว่าใครจะสัมภาษณ์วันไหน กี่โมง แล้วก็ต้องมานั่งทำแบบทดสอบสุดท้าย ซึ่งไม่มีการคัดใครออก นั่นคือ แบบทดสอบทางจิตวิทยา เพื่อจำแนกว่าเราเป็นคนกลุ่มไหน ซึ่งก็มีประมาณ 120 ข้อเห็นจะได้ นั่งทำไป ง่วงก็ง่วง หิวก็หิว อยากกลับบ้านใจจะขาด ทำเสร็จแล้วก็อนุญาตให้กลับบ้านได้

ตอนนั้น เลือกวันที่สัมภาษณ์เป็นวันที่ 30 มีนาคม เกือบท้ายๆ ของการสัมภาษณ์แล้ว จริงๆ กรรมการมีเวลาสัมภาษณ์ที่นี่แค่สามสี่วัน แต่ด้วยความที่มีคนผ่านเข้ารอบเยอะเกินความคาดหมายของเค้า ก็เลยต้องยืดเวลาไปก่อน โดยยังไม่คอนเฟิร์มว่า คนที่ลงวันหลังจากนั้นจะได้สัมภาษณ์มั้ย กลับบ้านไปวันนั้น นอนเลย เพราะเหนื่อยมาก หมดพลังไปเยอะกับการทำให้เราโดดเด่น…

ติดตามตอนต่อไปกับการสัมภาษณ์ Final Interview ชี้ชะตาชีวิตครับ

(ภาพประกอบตอนนี้ จากการเดินทางไปทำงานในอัฟริกาใต้ บราซิล และอินโดนีเซียครับ ไม่มีภาพในวันสอบเลย)

Loading

About Post Author

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error

Enjoy this blog? Please spread the word :)